รายละเอียดคำขอ

เลขที่คำขอ: 1801005983


31/03/2560
27/09/2561
1801005983A
29/04/2567

นีโอแอนติเจน และวิธีของการใช้สิ่งเหล่านั้น

A61K 38/17
ไบโอเอ็นเทค ยูเอส อิงค์.
รูนีย์, ไมเคิล สตีเวน
นางสาวจิตชนก สารรักษ์, นายประดิพล เครือแก้ว
ประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตร

                                                หน้า 1 ของจำนวน 1 หน้า

                                                     บทสรุปการประดิษฐ์

          สาขาวิทยาการของการประดิษฐ์นี้เกี่ยวข้องกับเปปไทด์ของการรักษาเชิงภูมิคุ้มกัน, สารที่เชื่อมต่อ
เปปไทด์ และการใช้ของสิงเหล่านี้น ยกตัวอย่างเช่นในการรักษาเชิงภูมิคุ้มกันของโรคมะเร็ง


แก้ไข 02/11/2561
ข้อถือสิทธิไม่มี

          ----------------------------------------------------------------------------------------------------          

                                                 หน้า 1 ของจำนวน 48 หน้า

                                                             ข้อถือสิทธิ
         1. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก ซึ่งประกอบรวมด้วยนีโอเอปีโทปอย่างจำเพาะ
ต่อเนื่องอก โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกไม่ได้เป็นโพลีเปปไทด์ดั้งเดิม โดยที่นิโอเอปี
โทปประกอบรวมด้วยอย่างน้อย 8 กรดอะมิโนซึ่งติดก้นของลำดับกรดอะมิโนที่ถูกแสดงออกด้วย:
         AxByCz1
         โดยที่
          แต่ละ A และ C แสดงออกถึงกรดอะมิโนที่สัมพันธ์กันกับโพลีเปปไทด์ดั้งเดิม,
          y เป็นอย่างน้อย 1 และ B แสดงออกถึงการแทนที่ หรือการแทรกกรดอะมิโนของโพลีเปปไทด์
ดั้งเดิม,
          X + y + Z เป็นอย่างน้อย 8,
         อย่างน้อย 8 กรดอะมิโนซึ่งติดกันประกอบรวมด้วย By และ
         โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดยยีนที่ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่งประกอบด้วย:
             (a) ABL1 โดยที่ AxByC2 เป็น
                 (i)
                  VADGLITTLHYPAPKRNKPTVYGVSPNYDKWEMERTDITMKHKLGGGQYGK
VYEGVWKKYSLTVAVKTLKEDTMEVEEFLKEAAVMKEIKHPNLVQLLGVC,
                (ii)
                VADGLITTLHYPAPKRNKPTVYGVSPNYDKWEMERTDITMKHKLGGGQYGV
VYEGVWKKYSLTVAVKTLKEDTMEVEEFLKEAAVMKEIKHPNLVQLLGVC,
               (iii)
               LLGVCTREPPFYIITEFMTYGNLLDYLRECNRQEVNAWLLYMATQISSATEYL
EKKNFIHRDLAARNCLVGENHLVKVADFGLSRLMTGDTYTAHAGAKF,
              (iv)
              SLTVAVKTLKEDTMEVEEFLKEAAVMKEIKHPNLVQLLGVCTREPPFYIIIEFMT
YGNLLDYLRECNRQEVNAWLLYMATQISSAMEYLEKKNFIHRDLA หรอ
             (v)
             STVADGLITTLHYPAPKRNKPTVYGVSPNYDKWEMERTDITMKHKLGGGQH
GEVYEGVWKKYSLTVAVKTLKEDTMEVEEFLKEAAVMKEIKHPNLVQLLG;

                                                    หน้า 2 ของจำนวน 48 หน้า

          (b) ALK โดยที่ AxByCz เป็น
          (i)
          SSLAMLDLLHVARDIACGCQYLEENHFIHRDIAARNCLLTCPGPGRVAKIADFGM
ARDIYRASYYRKGGCAMLPVKWMPPEAFMEGIFTSKTDTWSFGVLL หรอ
(ii)
          QVAVKTLPEVCSEQDELDFLMEALIISKFNHQNIVRCIGVSLQSLPRFILMELMAG
GDLKSFLRETRPRPSQPSSLAMLDLLHVARDIACGCQYLEENHFI;
       (c)BRAF โดยที่ AxByCz เป็น
          MIKLIDIARQTAQGMDYLHAKSIIHRDLKSNNIFLHEDLTVKIGDFGLATEKSRWSG
SHQFEQLSGSILWMAPEVIRMQDKNPYSFQSDVYAFGIVLYELM;
       (d)BTK โดยที่ AxByCz เป็น
           MIKEGSMSEDEFIEEAKVMMNLSHEKLVQLYGVCTKQRPIFIITEYMANGSLLNYLR
EMRHRFQTQQLLEMCKDVCEAMEYLESKQFLHRDLAARNCLVND;
        (e) EEF1B2 โดยที่ AxByCz เป็น
 MGFGDLKSPAGLQVLNDYLADKSYIEGYVPSQADVAVFEAVSGPPPADLCHALRW
YNHIKSYEKEKASLPGVKKALGKYGPADVEDTTGSGAT;
         (f)EGFR โดยที่ AxByCz เป็น
             (i)
             SLNITSLGLRSLKEISDGDVIISGNKNLCYANTINWKKLFGTSGQKTKIIRNRGENS
CKATGQVCHALCSPEGCWGPEPRDCVSCRNVSRGRECVDKCNLL หรือ
            (ii)
            IPVAIKELREATSPKANKEILDEAYVMASVDNPHVCRLLGICLTSTVQLIMQLMPFG
CLLDYVREHKDNIGSQYLLNWCVQIAKGMNYLEDRRLVHRDLAA;
         (g)ERBB3 โดยที่ AxByCz เป็น
ERCEWMGNLEIVLTGHNADLSFLQWIREVTGYVLVAMNEFSTLPLPNLRMV
RGTQVYDGKFAIFVMLNYNTNSSHALRQLRLTQLTEILSGGVYIEKNDK;

                                                     หน้า 3 ของจำนวน 48 หน้า

          (h) ESR1 โดยที่ AxByCz เป็น
             (i)
             HLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLYGLLL
EMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGEA,
  (ii)
           NQGKCVEGMVEIFDMLLATSSRFRMMNLQGEEFVCLKSIILLNSGVYTFLPSTLKS
LEEKDHIHRVLDKITDTLIHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSH,
          (iii)
          IHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLCDLL
LEMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGE,
         (iv)
         IHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLNDLL
LEMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGE หรือ
          (v)
IHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLSDLLL
EMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGE;
         (i) FGFR3 โดยที่ AxByCz เป็น
HRIGGIKLRHQQWSLVMESWPSDRGNYTCWENKFGSIRQTYTLDVLERCPH
RPILQAGLPANQTAVLGSDVEFHCKVYSDAQPHIQWLKHVEVNGSKVG;
(j)FRG1B โดยที่ AxByCz เป็น
AVKLSDSRIALKSGYGKYLGINSDELVGHSDAIGPREQWEPVFQNGKMALSA
SNSCFIRCNEAGDIEAKSKTAGEEEMIKIRSCAEKETKKKDDIPEEDKG;
(k) HER2 โดยที่ AxByCz เป็น
GSGAFGTVYKGIWIPDGENVKIPVAIKVLRENTSPKANKEILDEAYVMAGLGSPYVS
RLLGICLTSTVQLVTQLMPYGCLLDHVRENRGRLGSQDLLNWCM;
(I) IDH1 โดยที่ AxByCz เป็น

                                                      หน้า 4 ของจำนวน 48 หน้า
(i)
RVEEFKLKQMWKSPNGTIRNILGGTVFREAIICKNIPRLVSGWVKPIIIGHHAYGDQ
YRATDFWPGPGKVEITYTPSDGTQKVTYLVHNFEEGGGVAMGM,
(ii)
RVEEFKLKQMWKSPNGTIRNILGGTVFREAIICKNIPRLVSGWVKPIIIGCHAYGDQ
YRATDFWPGPGKVEITYTPSDGTQKVTYLVHNFEEGGGVAMGM,
(iii)
RVEEFKLKQMWKSPNGTIRNILGGTVFREAIICKNIPRLVSGWVKPIIIGGHAYGDQ
YRATDFWPGPGKVEITYTPSDGTQKVTYLVHNFEEGGGVAMGM หรือ
(iv)
RVEEFKLKQMWKSPNGTIRNILGGTVFREAIICKNIPRLVSGWVKPIIIGSHAYGDQ
YRATDFWPGPGKVEITYTPSDGTQKVTYLVHNFEEGGGVAMGM;
(m) KIT โดยที่ AxByC2 เป็น
(i)
VEATAYGLIKSDAAMTVAVKMLKPSAHLTEREALMSELKVLSYLGNHMNIANLLG
ACTIGGPTLVITEYCCYGDLLNFLRRKRDSFICSKQEDHAEAALYK หรอ
(ii)
VEATAYGLIKSDAAMTVAVKMLKPSAHLTEREALMSELKVLSYLGNHMNIANLLG
ACTIGGPTLVITEYCCYGDLLNFLRRKRDSFICSKQEDHAEAALYK;
(n) MEK โดยที่ AxByC2 เป็น
(i)
ISELGAGNGGWFKVSHKPSGLVMARKLIHLEIKPAIRNQIIRELQVLHESNSPYIV
GFYGAFYSDGEISICMEHMDGGSLDQVLKKAGRIPEQILGKVSI หรือ
(ii)
LGAGNGGWFKVSHKPSGLVMARKLIHLEIKPAIRNQIIRELQVLHECNSLYIVGFY
GAFYSDGEISICMEHMDGGSLDQVLKKAGRIPEQILGKVSIAVI;
(o) MYC โดยที่ AxByCz เป็น

                                                    หน้า 5 ของจำนวน 48 หน้า

(i)
MPLNVSFTNRNYDLDYDSVQPYFYCDEEENFYQQQQQSDLQPPAPSEDIWKKFE
LLPTPPLSPSRRSGLCSPSYVAVTPFSLRGDNDGG,
(ii)
FTNRNYDLDYDSVQPYFYCDEEENFYQQQQQSELQPPAPSEDIWKKFELLSTPPL
SPSRRSGLCSPSYVAVTPFSLRGDNDGGGGSFSTADQLEMVTELLG หรือ
(iii)
TNRNYDLDYDSVQPYFYCDEEENFYQQQQQSELQPPAPSEDIWKKFELLPIPPLS
PSRRSGLCSPSYVAVTPFSLRGDNDGGGGSFSTADQLEMVTELLGG;
(p) PDGFRa โดยที่ AxByCz เป็น
VAVKMLKPTARSSEKQALMSELKIMTHLGPHLNIVNLLGACTKSGPIYIIIEYCFYGDLV
NYLHKNRDSFLSHHPEKPKKELDIFGLNPADESTRSYVILS;
(q) PIK3CA โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
IEEHANWSVSREAGFSYSHAGLSNRLARDNELRENDKEQLKAISTRDPLSKITEQE
KDFLWSHRHYCVTIPEILPKLLLSVKWNSRDEVAQMYCLVKDWPP,
(ii)
HANWSVSREAGFSYSHAGLSNRLARDNELRENDKEQLKAISTRDPLSEITKQEKD
FLWSHRHYCVTIPEILPKLLLSVKWNSRDEVAQMYCLVKDWPPIKP หรือ
(iii)
LFINLFSMMLGSGMPELQSFDDIAYIRKTLALDKTEQEALEYFMKQMNDARHGG
WTTKMDWIFHTIKQHALN;
(r) POLE โดยที่ AxByCz เป็น
QRGGVITDEEETSKKIADQLDNIVDMREYDVPYHIRLSIDIETTKLPLKFRDAETDQIMMI
SYMIDGQGYLITNREIVSEDIEDFEFTPKPEYEGPFCVFN;
(s) PTEN โดยที่ AxByCz เป็น
KFNCRVAQYPFEDHNPPQLELIKPFCEDLDQWLSEDDNHVAAIHCKAGKGQTGVMIC
AYLLHRGKFLKAQEALDFYGEVRTRDKKGVTIPSQRRYVYYYSY;

                                                     หน้า 6 ของจำนวน 48 หน้า

(t) RAC1 โดยที่ AxByCz เป็น
MQAIKCWVGDGAVGKTCLLISYTTNAFSGEYIPTVFDNYSANVMVDGKPVNLGLWDT
AGQEDYDRLRPLSYPQTVGET; และ
(u) TP53 โดยที่ AxByC2 เป็น
(i)
IRVEGNLRVEYLDDRNTFRHSVWPYEPPEVGSDCTTIHYNYMCNSSCMGSMNR
RPILTIITLEDSSGNLLGRNSFEVRVCACPGRDRRTEEENLRKKGEP,
(ii)
TYSPALNKMFCQLAKTCPVQLVWDSTPPPGTRVRAMAIYKQSQHMTEVVRHCPH
 HERCSDSDGLAPPQHLIRVEGNLRVEYLDDRNTFRHSVWPYEPPEV,
(iii)
EGNLRVEYLDDRNTFRHSVWPYEPPEVGSDCTTIHYNYMCNSSCMGGMNQRPI
LTIITLEDSSGNLLGRNSFEVRVCACPGRDRRTEEENLRKKGEPHHE,
(iv)
EGNLRVEYLDDRNTFRHSWVPYEPPEVGSDCTTIHYNYMCNSSCMGGMNWRPI
LTIITLEDSSGNLLGRNSFEVRVCACPGRDRRTEEENLRKKGEPHHE หรอ
(V)
PEVGSDCTTIHYNYMCNSSCMGGMNRRPILTIITLEDSSGNLLGRNSFEVCVCAC
PGRDRRTEEENLRKKGEPHHELPPGSTKRALPNNTSSSPQPKKKPL
2.    เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1 โดยที่โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูก
เข้ารหัสโดย EGFR, ERBB3 หรือ FGFR3 ยีน และอย่างน้อยหนึ่ง By ได้ถูกแสดงออกอย่างภายนอกเซลล์
3.    เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก ซึ่งประกอบรวมด้วยนิโอเอปิโทปอย่างจำเพาะ
ต่อเนื่องอก โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกไม่ได้เป็นโพลีเปปไทด์ดั้งเดิม โดยที่นิโอเอปิ
โทปประกอบรวมด้วยอย่างน้อย 8 กรดอะมิโนซึ่งติดกันของลำดับกรดอะมิโนที่ถูกแสดงออกด้วย:
AxByCz,
โดยที่
แต่ละ A เป็นกรดอะมิโนที่สัมพันธ์กันกับโพลีเปปไทด์ดั้งเดิม;
By ไม่ได้มีอยู่;

                                            หน้า 7 ของจำนวน 48 หน้า

แต่ละ C เป็นกรดอะมิโนที่ถูกเข้ารหัสโดยเฟรมชิฟท์ของลำดับที่เข้ารหัสโพลีเปปไทด์ดั้งเดิม;
x + y + Z เป็นอย่างน้อย 8;
อย่างน้อย 8 กรดอะมิโนซึ่งติดกันประกอบรวมด้วยอย่างน้อยหนึ่ง Cz; และ
โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดยยีนที่ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่งประกอบด้วย:
(a) APC โดยที่ Cz เป็น
(i)
AKFQQCHSTLEPNPADCRVLVYLQNQPGTKLLNFLQERNLPPKWLRHPKVHLN
TMFRRPHSCLADVLLSVHLIVLRWRLPAPFRVNHAVEW,
(ii) APVIFQIALDKPCHQAEVKHLHHLLKQLKPSEKYLKIKHLLLKRERVDLSKLQ
หรือ
(iii) MLQFRGSRFFQMLILYYILPRKVLQMDFLVHPA;
(b) ARID1A โดยที่ Cz เป็น
(i)
ALGPHSRISCLPTQTRGCILLAATPRSSSSSSSNDMIPMAISSPPKAPLLAAPSPAS
 RLQCINSNSRITSGQWMAHMALLPSGTKGRCTACHTALGRGSLSSSSCPQPSPSLPASNKLPS
LPLSKMYTTSMAMPILPLPQLLLSADQQAAPRTNFHSSLAETVSLHPLAPMPSKTCHHK,
(ii)
AHQGFPAAKESRVIQLSLLSLLIPPLTCLASEALPRPLLALPPVLLSLAQDHSRLLQ
CQATRCHLGHPVASRTASCILP,
(iii)
PILAATGTSVRTAARTWVPRAAIRVPDPAAVPDDHAGPGAECHGRPLLYTADSSL
WTTRPQRVWSTGPDSILQPAKSSPSAAAATLLPATTVPDPSCPTFVSAAATVSTTTAPVLSASILP
AAIPASTSAVPGSIPLPAVDDTAAPPEPAPLLTATGSVSLPAAATSAASTLDALPAGCVSSAPVSA
VPANCLFPAALPSTAGAISRFIWVSGILSPLNDLQ,
(iv)
PCRAGRRVPWAASLIHSRFLLMDNKAPAGMVNRARLHITTSKVLTLSSSSHPTPS
NHRPRPLMPNLRISSSHSLNHHSSSPLSLHTPSSHPSLHISSPRLHTPPSSRRHSSTPRASPPTHS
HRLSLLTSSSNLSSQHPRRSPSRLRILSPSLSSPSKLPIPSSASLHRRSYLKIHLGLRHPQPPQ,

                                               หน้า 8 ของจำนวน 48 หน้า

(v)
RTNPTVRMRPHCVPFWTGRILLPSAASVCPIPFEACHLCQAMTLRCPNTQGCCSS
WAS หรือ
(vi)
TNQALPKIEVICRGTPRCPSTVPPSPAQPYLRVSLPEDRYTQAWAPTSRTPWGAM
VPRGVSMAHKVATPGSQTIMPCPMPTTPVQAWLEA;
(c) สูตรเคมี2M โดยที่ Cz เป็น
(i) RMERELKKWSIQTCLSARTGLSISCTTLNSPPLKKMSMPAV หรือ
(ii) LCSRYSLFLAWRLSSVLQRFRFTHVIQQRMESQIS;
(d) CDH1 โดยที่ Cz เป็น
(i) RSACVTVKGPLASVGRHSLSKQDCKFLPFWGFLEEFLLC,
(ii)
IQWGTTTAPRPIRPPFLESKQNCSHFPTPLLASEDRRETGLFLPSAAQKMKKAHFL
KTWFRSNPTKTKKARFSTASLAKELTHPLLVSLLLKEKQDG,
(iii)
PTDPFLGLRLGLHLQKVFHQSHAEYSGAPPPPPAPSGLRFWNPSRIAHISQLLSW
PQKTEERLGYSSHQLPRK,
(iv) FCCSCCFFGGERWSKSPYCPQRMTPGTTFITMMKKEAEKRTRTLT หรอ
(V)
WRRNCKAPVSLRKSVQTPARSSPARPDRTRRLPSLGVPGQPWALGAAASRRCC
CCCRSPLGSARSRSPATLALTPRATRSRCPGATWREAASWAE;
(e) GATA3 โดยที่ Cz เป็น
(i)
PGRPLQTHVLPEPHLALQPLQPHADHAHADAPAIQPVLWTTPPLQHGHRHGLEP
 CSMLTGPPARVPAVPFDLHFCRSSIMKPKRDGYMFLKAESKIMFATLQRSSLWCLCSNH; หรอ
(ii)
PRPRRCTRHPACPLDHTTPPAWSPPWVRALLDAHRAPSESPCSPFRLAFLQEQYHEA;
(f) MLL2 โดยที่ Cz เป็น

                                                              หน้า 9 ของจำนวน 48 หน้า

          TRRCHCCPHLRSHPCPHHLRNHPRPHHLRHHACHHHLRNCPHPHFLRHCTCPGRW
RNRPSLRRLRSLLCLPHLNHHLFLHWRSRPCLHRKSHPHLLHLRRLYPHHLKHRPCPHHLKNLL
CPRHLRNCPLPRHLKHLACLHHLRSHPCPLHLKSHPCLHHRRHLVCSHHLKSLLCPLHLRSLPF
PHHLRHHACPHHLRTRLCPHHLKNHLCPPHLRYRAYPPCLWCHACLHRLRNLPCPHRLRSLPR
 PLHLRLHASPHHLRTPPHPHHLRTHLLPHHRRTRSCPCRWRSHPCCHYLRSRNSAPGPRGRTC
HPGLRSRTCPPGLRSHTYLRRLRSHTCPPSLRSHAYALCLRSHTCPPRLRDHICPLSLRNCTCPP
RLRSRTCLLCLRSHACPPNLRNHTCPPSLRSHACPPGLRNRICPLSLRSHPCPLGLKSPLRSQA
NALHLRSCPCSLPLGNHPYLPCLESQPCLSLGNHLCPLCPRSCRCPHLGSHPCRLS;
(g)PTEN โดยที่ Cz เป็น
(i)
SWKGTNWCNDMCIFITSGQIFKGTRGPRFLWGSKDQRQKGSNYSQSEALCVLL,
(ii) KRTKCFTFG,
(iii) PIFIQTLLLWDFLQKDLKAYTGTILMM,
(iv) QKMILTKQIKTKPTDTFLQILR,
(v) GFWIQSIKTITRYTIFVLKDIMTPPNLIAELHNILLKTITHHS,
(vi) NYSNVQWRNLQSSVCGLPAKGEDIFLQFRTHTTGRQVHVL หรอ
(vii) YQSRVLPQTEQDAKKGQNVSLLGKYILHTRTRGNLRKSRKWKSM;
(h) TP53 โดยที่ Cz เป็น
(i)
SSQNARGCSPRGPCTSSSYTGGPCTSPLLAPVIFCPFPENLPGQLRFPSGLLAFW
DSQVCDLHVLPCPQQDVLPTGQDLPCAAVG,
(ii)
GAAPTMSAAQIAMVWPLLSILSEWKEICVWSIWMTETLFDIVWWCPMSRLRLALT
VPPSTTTTCVTVPAWAA,
(iii)
TGGPSSPSSHWKTPWIYWDGTALRCVFVPVLGETGAQRKRISARKGSLTTSCPQ
GALSEHCPTTPAPLPSQRRNHWMENISPFRSVGVSASRCSES,
(iv) FHTPARHPRPRHGHLQAVTAHDGGCEALPPP,

                                                      หน้า 10 ของจำนวน 48 หน้า

(v)
CCPRTILNNGSLKTQVQMKLPECQRLLPPWPLHQQLLHRRPLHQPPPGPCHLLS
LPRKPTRAATVSVWASCILGQPSL,
(vi) VRKHFQTYGNYFLKTTFCPPCRPKQWMI หรือ
(vii) LARTPLPSTRCFANWPRPALCSCGLIPHPRPAPASAPWPSTSSHST; หรือ
(i) VHL โดยที่ Cz เป็น
(i)
ELQETGHRQVALRRSGRPPKCAERPGAADTGAHCTSTDGRLKISVETYTVSSQLL
MVLMSLDLDTGLVPSLVSKCLILRVK,
(ii) KSDASRLSGA,
(iii) RTAYFCQYHTASVYSERAMPPGCPEPSQA,
(iv)
TRASPPRSSSAIAVRASCCPYGSTSTASRSPTQRCRLARAAASTATEVTFGSSEM
QGHTMGFWLTKLNYLCHLSMLTDSLFLPISHCQCIL,
(v) SSLRITGDWTSSGRSTKIWKTTQMCRKTWSG หรือ
(vi)
RRRRGGVGRRGVRPGRVRPGGTGRRGGDGGRAAAARAALGELARALPGHLLQ
SQSARRAARMAQLRRRAAALPNAAAWHGPPHPQLPRSPLALQRCRDTRWASG;
(i) ACVR2A โดยที่ AxByCz เป็น
(i)GVEPCYGDKDKRRHCFATWKNISGSIEIVKQGCWLDDINCYDRTDCVEKKRQP
หรือ
(ii)
GVEPCYGDKDKRRHCFATWKNISGSIEIVKQGCWLDDINCYDRTDCVEKKTALK
YIFVAVRAICVMKSFUFRRWKSHSPLQIQLHLSHPITTSCSIPWCHLC;
(k) C15ORF40 โดยที่ AxByCz เป็น
TAEAVNVAIAAPPSEGEANAELCRYLSKVLELRKSDWLDKVGLALFFFFFETKSCSVA
QAGVQWRSLGSLQPPPPGFKLFSCLSFLSSWDYRRMPPCLANFCIFNRDGVSPCWSGWS;
(I) CNOT1 โดยที่ AxByCz เป็น

                                                     หน้า 11 ของจำนวน 48 หน้า

(i)
LSVIIFFFVYIWHWALPLILNNHHICLMSSIILDCNSVRQSIMSVCFFFFSVIFSTRCLT
DSRYPNICWFK หรือ
(ii)
LSVIIFFFVYIWHWALPLILNNHHICLMSSIILDCNSVRQSIMSVCFFFFCYILNTMFDR;
(m) EIF2B3 โดยที่ AxByCz หรือ Cz เป็น
VLVLSCDUTDVALHEWDLFRAYDASLAMLMRKGQDSIEPVPGQKGKKKQWSSVTSL
EWTAQERGCSSWLMKQTWMKSWSLRDPSYRSILEYVSTRVLWMPTSTV;
(ท) EPHB2 โดยที่ AxByCz หรือ Cz เป็น
SIQVMRAQMNQIQSVEGQPLARRPRATGRTKRCQPRDVTKKTCNSNDGKKREWEKR
KQILGGGGKYKEYFLKRILIRKAMTVLAGDKKGLGRFMRCVQSETKAVSLQLPLGR;
(o) ESRP1 โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
LDFLGEFATDIRTHGVHMVLNHQGRPSGDAFIQMKSADRAFMAAQKCHKKKHEGQI
Cหรือ
(ii)
LDFLGEFATDIRTHGVHMVLNHQGRPSGDAFIQMKSADRAFMAAQKCHKKT;
(p) FAM11B โดยที่ AxByCz เป็น
GALCKDGRFRSDIGEFEWKLKEGHKKIYGKQSMVDEVSGKVLEMDISKKKHYNRKISI
 KKLNRMKVPLMKLITRV;
(q) GBP3 โดยที่ AxByCz เป็น
RERAQLLEEQEKTLTSKLQEQARVLKERCQGESTQLQNEIQKLQKTLKKKPRDICRIS;
(r) JAK1 โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
VNTLKEGKRLPCPPNCPDEVYQLMRKCWEFQPSNRTSFQNLIEGFEALLKTSN หรอ
(ii)
CRPVTPSCKELADLMTRCMNYDPNQRPFFRAIMRDINKLEEQNPDIVSEKNQ
QLKWTPHILKSAS;

                                               หน้า 12 ของจำนวน 48 หน้า

(s) LMAN1 โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
DDHDVLSFLTFQLTEPGKEPPTPDKEISEKEKEKYQEEFEHFQQELDKKKRGIPEG
PPRPPRAACGGNI หรือ
(ii)
DDHDVLSFLTFQLTEPGKEPPTPDKEISEKEKEKYQEEFEHFQQELDKKKRNSRR
ATPTSKGSLRRKYLRV;
(t) MSH3 โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
TKSTLIGEDVNPLIKLDDAVNVDEIMTDTSTSYLLCISENKENVRDKKKGQHFYWH
CGSAACH RRGCV หรือ
(II)
LYTKSTLIGEDVNPLIKLDDAVNVDEIMTDTSTSYLLCISENKENVRDKKRATFLLAL
WECSLPQARLCLIVSRTLLLVQS;
(u) NDUFC2 โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
LPPPKLTDPRLLYIGFLGYCSGLIDNLIRRRPIATAGLHRQLLYITAFFFCWILSCKT
หรือ
(ii) SLPPPKLTDPRLLYIGFLGYCSGLIDNLIRRRPIATAGLHRQLLYITAFFLLDIIL;
(v) RBM27 โดยที่ AxByCz เป็น
NQSGGAGEDCQIFSTPGHPKMIYSSSNLKTPSKLCSGSKSHDVQEVLKKKTGSNE
VTTRYEEKKTGSVRKANRMPKDVNIQVRKKQKHETRRKSKYNEDFERAWREDLTIKR;
(w) RPL22 โดยที่ AxByCz เป็น
(i) MAPVKKLWKGGKKKEASSEVHS หรือ
(ii) MAPVKKLWKGGKKRSKF;
(x) SEC31A โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
MPSHQGAEQQQQQHHVFISQVVTEKEFLSRSDQLQQAVQSQGFINYCQKKN หรือ

                                             หน้า 13 ของจำนวน 48 หน้า

(ii)
MPSHQGAEQQQQQHHVFISQWTEKEFLSRSDQLQQAVQSQGFINYCQKK
LMLLRLNLRKMCGPF;
(y) SEC63 โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
AEVFEKEQSICAAEEQPAEDGQGETNKNRTKGGWQQKSKGPKKTAKSKKKETF
KKKTYTCAITTVKATETKAGKWSRWE หรือ
(ii)
MAEVFEKEQSICAAEEQPAEDGQGETNKNRTKGGWQQKSKGPKKTAKSKKRNL;
(z) SLC35F5 โดยที่ AxByCz เป็น
NIMEIRQLPSSHALEAKLSRMSYPVKEQESILKTVGKLTATQVAKISFFFALCGFWQICH
IKKHFQTHKLL;
(aa) SMAP1 โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
YEKKKYYDKNAIAITNISSSDAPLQPLVSSPSLQAAVDKNKLEKEKEKKKGREKER
KGARKAGKTTYS หรือ
(ii)
KYEKKKYYDKNAIAITNISSSDAPLQPLVSSPSLQAAVDKNKLEKEKEKKRKRKRE
KRSQKSRQNHLQLKSCRRKISNWSLKKVPALKKLRSPLWIF;
(bb) TFAM โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
IYQDAYRAEWQVYKEEISRFKEQLTPSQIMSLEKEIMDKHLKRKAMTKKKRVNTA
WKTKKTSFSL หรือ
(ii) IYQDAYRAEWQVYKEEISRFKEQLTPSQIMSLEKEIMDKHLKRKAMTKKKS;
(cc) TGFBR2 โดยที่ AxByCz เป็น
(i) KPQEVCVAVWRKNDENITLETVCHDPKLPYHDFILEDAASPKCIMKEKKKAW

                                                   หน้า 14 ของจำนวน 48 หน้า

(ii)
EKPQEVCVAVWRKNDENITLETVCHDPKLPYHDFILEDAASPKCIMKEKKSLVRLS
SCVPVALMSAMTTSSSQKNITPAILTCC;
(dd) THAP5 โดยที่ AxByCz เป็น
VPSKYQFLCSDHFTPDSLDIRWGIRYLKQTAVPTIFSLPEDNQGKDPSKKNPRRKTWK
MRKKYAQKPSQKNHLY;
(ee) TTK โดยที่ AxByCz เป็น
GTTEEMKYVLGQLVGLNSPNSILKAAKTLYEHYSGGESHNSSSSKTFEKKGEKNDLQL
FVMSDTTYKIYWTVILLNPCGNLHLKTTSL; และ
(ff) XPOT โดยที่ AxByCz เป็น
QQLIRETLISWLQAQMLNPQPEKTFIRNKAAQVFALLFVTEYLTKWPKFFLTFSQ
4. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก ซึ่งประกอบรวมด้วยนีโอเอปิโทปอย่างจำเพาะ
ต่อเนื้องอก โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกไม่ได้เป็นโพลีเปปไทด์ดั้งเดิม โดยที่นีโอเอปิ
โทปประกอบรวมด้วยอย่างน้อย 8 กรดอะมิโนซึ่งติดกันของลำดับกรดอะมิโนที่ถูกแสดงออกด้วย:
AxByCz,
โดยที่
แต่ละ A เป็นกรดอะมิโนที่สัมพันธ์กันกับโพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรก;
แต่ละ C เป็นกรดอะมิโนที่สัมพันธ์กันกับโพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับที่สอง หรือแอกซอนที่ซ่อน
เร้นหรือแอกซอนของความผันแปรในการต่อเข้าของโพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรก,
แต่ละ B เป็นกรดอะมิโนที่ไม่ได้เป็นกรดอะมิโนที่สัมพันธ์กันกับโพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรก,
โพลเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับที่สอง หรือแอกซอนที่ซ่อนเร้นของโพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรก และ
X + y + Z เป็นอย่างน้อย 8 โดยที่
y ไม่ได้มีอยู่ และอย่างน้อย 8 กรดอะมิโนซึ่งติดกันประกอบรวมด้วยอย่างน้อยหนึ่ง Ax และ
อย่างน้อยหนึ่ง Cz หรือ
y เป็นอย่างน้อย 1 และอย่างน้อย 8 กรดอะมิโนซึ่งติดกันประกอบรวมด้วยอย่างน้อยหนึ่ง B ,
โดยที่:
(a) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย BCR ยีน, โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับที่สอง
ได้ถูกเข้ารหัสโดย ABL ยีน และ

                                                 หน้า 15 ของจำนวน 48 หน้า

(i) y เป็น 0 และ AxByCz เป็น
ERAEWRENIREQQKKCFRSFSLTSVELQMLTNSCVKLQTVHSIPLTINKEEALQRP
VASDFEPQGLSEAARWNSKENLLAGPSENDPNLFVALYDFVASG หรือ
(ii) y เป็น 1 และ AxByCz เป็น
ELQMLTNSCVKLQTVHSIPLTINKEDDESPGLYGFLNVIVHSATGFKQSSKALQRP
VASDFEPQGLSEAARWNSKENLLAGPSENDPNLFVALYDFVASGD;
(b) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย C11orf95 ยีน, โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับ
ที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย RELA ยีน, y เป็น 1 และ AxByCz เป็น
ISNSWDAHLGLGACGEAEGLGVQGAEEEEEEEEEEEEEGAGVPACPPKGPELFPLIFP
AEPAQASGPYVEIIEQPKQRGMRFRYKCEGRSAGSIPGERSTD;
(c) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย CBFB ยีน และโพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับ
ที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย MYH11 ยีน, y เป็น 0 และ AxByCz เป็น
LQRLDGMGCLEFDEERAQQEDALAQQAFEEARRRTREFEDRDRSHREEMEVHELEK
SKRALETQMEEMKTQLEELEDELQATEDAKLRLEVNMQALKGQF;
(d) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย CD74 ยีน และโพลเปปไทดดั้งเดิมลำดับ
ที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย ROS1 ยีน, y เป็น 0 และ AxByCz เป็น
KGSFPENLRHLKNTMETIDWKVFESWMHHWLLFEMSRHSLEQKPTDAPPKAGVPNK
PGIPKLLEGSKNSIQWEKAEDNGCRITYYILEIRKSTSNNLQNQ;
(e) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย EGFR ยีน และโพลเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับ
ที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย
(i) SEPT14 ยีน, y เป็น 0 และ AxByCz เป็น
LPQPPICTIDVYMIMVKCWMIDADSRPKFRELIIEFSKMARDPQRYLVIQLQDKFEH
LKMIQQEEIRKLEEEKKQLEGEIIDFYKMKAASEALQTQLSTD; หรือ
(ii) EGFR ยีน, y เป็น 1 และ AxByCz เป็น
MRPSGTAGAALLALLAALCPASRALEEKKGNYWTDHGSCVRACGADSYEMEE
DGVRKCKKCEGPCRKVCNGIGIGEFKD;
(f) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย EML4 ยีน, โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับที่
สองได้ถูกเข้ารหัสโดย ALK ยีน, y เป็น 1 และ AxByCz เป็น

                                                หน้า 16 ของจำนวน 48 หน้า

SWENSDDSRNKLSKIPSTPKLIPKVTKTADKHKDVIINQAKMSTREKNSQVYRRKHQEL
QAMQMELQSPEYKLSKLRTSTIMTDYNPNYCFAGKTSSISDL
(g) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย FGFR3 ยีน, โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับที่
สองได้ถูกเข้ารหัสโดย TACC3 ยีน, y เป็น 0 และ AxByCz เป็น
EGHRMDKPANCTHDLYMIMRECWHAAPSQRPTFKQLVEDLDRVLTVTSTDVKATQEE
NRELRSRCEELHGKNLELGKIMDRFEEWYQAMEEVQKQKELS,
(h) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย NAB ยีน, โพลเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับที่สอง
ได้ถูกเข้ารหัสโดย STAT6 ยีน, y เป็นอย่างน้อย 1 และ AxByCz เป็น
RDNTLLLRRVELFSLSRQVARESTYLSSLKGSRLHPEELGGPPLKKLKQEATSKSQIMS
LWGLVSKMPPEKVQRLYVDFPQHLRHLLGDWLESQPWEFLVGSDAFCC;
(i) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย ERG, y เป็น 0 และ
(i) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย NDRG1 ยีน และ AxByCz เป็น
MSREMQDVDLAEVKPLVEKGETITGLLQEFDVQEALSWSEDQSLFECAYGTPHL
AKTEMTASSSSDYGQTSKMSPRVPQQDW หรอ
(ii) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย TMPRSS2 ยีน และ AxByCz เป็น
MALNSEALSWSEDQSLFECAYGTPHLAKTEMTASSSSDYGQTSKMSPRVPQQDW;
(j) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย PML ยีน, โพลเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับที่สอง
ได้ถูกเข้ารหัสโดย RARA ยีน, y เป็น 1 และ AxByCz เป็น
(i)
VLDMHGFLRQALCRLRQEEPQSLQAAVRTDGFDEFKVRLQDLSSCITQGKAIET
QSSSSEEIVPSPPSPPPLPRIYKPCFVCQDKSSGYHYGVSACEGCKG หรือ
(ii)
RSSPEQPRPSTSKAVSPPHLDGPPSPRSPVIGSEVFLPNSNHVASGAGEAAIETQS
SSSEEIVPSPPSPPPLPRIYKPCFVCQDKSSGYHYGVSACEGCKG;
(k) โพลเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย RUNX1 ยีน, โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับที่
สองได้ถูกเข้ารหัสโดย CBFA2T1 (RUNX1T1) ยีน, y เป็น 1 และ AxByCz เป็น
VARFNDLRFVGRSGRGKSFTLTITVFTNPPQVATYHRAIKITVDGPREPRNRTEKHSTM
PDSPVDVKTQSRLTPPTMPPPPTTQGAPRTSSFTPTTLTNGT;

                                                  หน้า 17 ของจำนวน 48 หน้า

(l) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย AR-V7 ยีน, แอกซอนที่ซ่อนเร้น หรือแอก
ซอนของความผันแปรในการต่อเข้า ได้ถูกเข้ารหัสโดย AR-V7 ยีน, y เป็น 0 และ AxByCz เป็น
SCKVFFKRAAEGKQKYLCASRNDCTIDKFRRKNCPSCRLRKCYEAGMTLGEKFRVGNCKHLK
MTRP
5, เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก ซึ่งประกอบรวมด้วยนิโอเอปิโทปอย่างจำเพาะ
ต่อเนื่องอก โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกไม่ได้เป็นโพลีเปปไทด์ดั้งเดิม โดยที่นิโอเอปิ
โทปประกอบรวมด้วยอย่างน้อย 8 กรดอะมิโนซึ่งติดกันของลำดับกรดอะมิโนที่ถูกแสดงออกด้วย:
AxByCz
โดยที่
แต่ละ A เป็นกรดอะมิโนที่สัมพันธ์กันกับโพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรก;
แต่ละ B เป็นกรดอะมิโนที่ไม่ได้เป็นกรดอะมิโนที่ส์มพันธ์กันกับโพลเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรก
หรือโพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับที่สอง,
แต่ละ C เป็นกรดอะมิโนที่ถูกเข้ารหัสโดยเฟรมชิฟท์ของลำดับที่เข้ารหัสโพลีเปปไทด์ดั้งเดิม
ลำดับที่สอง;
X + y + Z เป็นอย่างน้อย 8 โดยที่
y ไม่ได้มีอยู่ และอย่างน้อย 8 กรดอะมิโนซึ่งติดกันประกอบรวมด้วยอย่างน้อยหนึ่ง Cz หรือ
y เป็นอย่างน้อย 1 และอย่างน้อย 8 กรดอะมิโนซึ่งติดกันประกอบรวมด้วยอย่างน้อยหนึ่ง By
และ/หรืออย่างน้อยหนึ่ง Cz; และ
(a) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย AC011997.1 ยีน, โพลีเปปไทด์ดั้งเดิม
ลำดับที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย LRRC69 ยีน, y เป็น 1 และ AxByCz เป็น
MAGAPPPASLPPCSLISDCCASNQRDSVGVGPSEPGNNIKICNESASRK
(b) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย EEF1DP3 ยีน, โพลีเปปไทด์ดั้งเดิม
ลำดับที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย FRY ยีน, y เป็น 1 และ AxByCz เป็น
HGWRPFLPVRARSRWNRRLDVTVANGRSWKYGWSLLRVPQVNGIQVLNVSLKSSSNVISY,
(c) โพลเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย MAD1L1 ยีน, โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับ
ที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย MAFK ยีน, y เป็น 0 และ AxByCz เป็น
RLKEVFQTKIQEFRKACYTLTGYQIDITTENQYRLTSLYAEHPGDCLIFKLRVPGSSVLVT
VPGL หรือ

                                             หน้า 18 ของจำนวน 48 หน้า

(d) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย PPP1R1B ยีน, โพลีเปปไทดัดั้งเดิม
ลำดับที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย STARD3 ยีน, y เป็น 1 และ AxByC2 เป็น
AEVLKVIRQSAGQKTTCGQGLEGPWERPPPLDESERDGGSEDQVEDPALSALLLRPR
PPRPEVGAHQDEQAAQGADPRLGAQPACRGLPGLLTVPQPEPLLAPPSAA
6. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-5 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์
ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกประกอบรวมด้วยลำดับตามตารางที่ 1
7. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-6 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ X + y +
Z เป็นอย่างมาก 500, อย่างมาก 250, อย่างมาก 150, อย่างมาก 125 หรืออย่างมาก 100
8. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-7 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ X + y +
Z เป็นอย่างน้อย 8, อย่างน้อย 50, อย่างน้อย 100, อย่างน้อย 200 หรออย่างน้อย 300
9. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-8 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ Z เป็น
อย่างมาก 500, อย่างมาก 250, อย่างมาก 150, อย่างมาก 125 หรืออย่างมาก 100
10. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-9 ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่ Z เป็น
อย่างน้อย 8, อย่างน้อย 50, อย่างน้อย 100, อย่างน้อย 200 หรออย่างน้อย 300
11. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-10 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทดัชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก มีดั้งแต่ประมาณ 8 ถึงประมาณ 500 กรดอะมิโนในความยาว
12. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 11 โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออกมีตั้งแต่ประมาณ 8ถึงประมาณ100กรดอะมิโนในความยาว
13. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 12 โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออก มีตั้งแต่ประมาณ 8 ถึงประมาณ 50 กรดอะมิโนในความยาว
14. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 13 โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออก มีตั้งแต่ประมาณ 15 ถึงประมาณ 35 กรดอะมิโนในความยาว
15. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 13 โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออกมีตั้งแต่ประมาณ 8และประมาณ15กรดอะมิโนในความยาว
16.    เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 13 โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออกมีดั้งแต่ประมาณ 8และประมาณ11 กรดอะมิโนในความยาว
17.    เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 13 โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออกเป็น9หรือ 10 กรดอะมิโนในความยาว

                                                หน้า 19 ของจำนวน 48 หน้า

18. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-17 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก เชื่อมต่อสารเชิงซ้อนอิสโทคอมพาทิบิลิตีอย่างหลัก (MHC)
ประเภท l
19. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 18 โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออก เชื่อมต่อ MHC ประเภท l ด้วยการดึงดูดในการเชื่อมต่อที่เป็นประมาณ 500 nM
หรือน้อยกว่า
20. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 19 โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออก เชื่อมต่อ MHC ประเภท l ด้วยการดึงดูดในการเชื่อมต่อที่เป็นประมาณ 250 nM
หรือน้อยกว่า
21.     เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 19 โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออก เชื่อมต่อ MHC ประเภท l ด้วยการดึงดูดในการเชื่อมต่อที่เป็นประมาณ 50 nM
หรือน้อยกว่า
22.    เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-21 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก มีตั้งแต่ประมาณ 8 และประมาณ 30 กรดอะมิโนในความยาว
23.เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 22โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออก มีตั้งแต่ประมาณ 8 ถึงประมาณ 25 กรดอะมิโนในความยาว
24. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 23 โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออก มีตั้งแต่ประมาณ 15 ถึงประมาณ 24 กรดอะมีโนในความยาว
25. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 23 โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออก มีตั้งแต่ประมาณ 9 ถึงประมาณ 15 กรดอะมิโนในความยาว
26. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-17 และ 22-25 ข้อใดข้อหนึ่ง
โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก เชื่อมต่อ MHC ประเภท II
27. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 26โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจ
นิกที่ถูกแยกออก เชื่อมต่อ MHC ประเภท II ด้วยการดึงดูดในการเชื่อมต่อเป็น 1000 nM หรือน้อยกว่า
28. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 27 โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออก เชื่อมต่อ MHC ประเภท I ด้วยการดึงดูดในการเชื่อมต่อที่เป็นประมาณ 500 nM
หรือน้อยกว่า

                                           หน้า 20 ของจำนวน 48 หน้า

29. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-28 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยกรดอะมิโนด้านข้าง
30. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 29 โดยที่กรดอะมิโนด้านข้าง
ไม่ได้เป็นกรดอะมิโนด้านข้างดั้งเดิม
31. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-30ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก มีความยาวทั้งหมดเป็นอย่างน้อย 8, อย่างน้อย 9, อย่างน้อย
10, อย่างน้อย 11,อย่างน้อย 12, อย่างน้อย 13, อย่างน้อย 14, อย่างน้อย 15, อย่างน้อย 16, อย่าง
น้อย 17, อย่างน้อย 18, อย่างน้อย 19, อย่างน้อย 20, อย่างน้อย 21, อย่างน้อย 22, อย่างน้อย 23,
อย่างน้อย 24, อย่างน้อย 25, อย่างน้อย 26, อย่างน้อย 27, อย่างน้อย 28, อย่างน้อย 29, อย่างน้อย
30, อย่างน้อย 40, อย่างน้อย 50, อย่างน้อย 60, อย่างน้อย 70, อย่างน้อย 80, อย่างน้อย 90, อย่าง
น้อย 100, อย่างน้อย 150, อย่างน้อย 200, อย่างน้อย 250, อย่างน้อย 300, อย่างน้อย 350, อย่าง
น้อย 400, อย่างน้อย 450 หรออย่างน้อย 500 กรดอะมิโน
32. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-31 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก มีความยาวทั้งหมดเป็นอย่างมาก 8, อย่างมาก 9, อย่างมาก
10,อย่างมาก 11,อย่างมาก 12,อย่างมาก 13,อย่างมาก 14,อย่างมาก 15,อย่างมาก 16,อย่าง
มาก 17, อย่างมาก 18, อย่างมาก 19, อย่างมาก 20, อย่างมาก 21, อย่างมาก 22, อย่างมาก 23,
อย่างมาก 24, อย่างมาก 25, อย่างมาก 26, อย่างมาก 27, อย่างมาก 28, อย่างมาก 29, อย่างมาก
30, อย่างมาก 40, อย่างมาก 50, อย่างมาก 60, อย่างมาก 70, อย่างมาก 80, อย่างมาก 90, อย่าง
มาก 100, อย่างมาก 150, อย่างมาก 200, อย่างมาก 250, อย่างมาก 300, อย่างมาก 350, อย่างมาก
400, อย่างมาก 450 หรออย่างมาก 500 กรดอะมิโน
33.    เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-32 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก เป็นเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกลำดับแรกที่ถูกเชื่อมกับอย่าง
น้อยเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกลำดับที่สอง
34. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 33 โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอน
ติเจนิกที่ถูกแยกออกได้ถูกเชื่อมกับอย่างน้อยเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกลำดับที่สอง โดยตัวเชื่อมโพ
ลี-ไกลซีน หรือโพลี-เซรีน

                                           หน้า 21 ของจำนวน 48 หน้า

35. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ33หรอ 34โดยที่เปปไทด์
ชนิดนีโอแอนติเจนิกลำดับที่ลองเชื่อมต่อ MHC ประเภทเหรือประเภทIIด้วยการดึงดูดในการ
เชื่อมต่อน้อยกว่าประมาณ 1000 nM
36. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 35 โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอน
ติเจนิกลำดับที่สอง เชื่อมต่อ MHC ประเภท I หรือประเภท II ด้วยการดึงดูดในการเชื่อมต่อน้อยกว่า
ประมาณ 500 nM
37. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ35หรือ 36 โดยที่เปปไทด์
ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก และเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกลำดับที่ลอง เชื่อมต่อแอนติเจนเม็ด
เลือดขาวของมนุษย์ (HLA) -A, -B, -C, -DP, -DQ หรือ -DR
38. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 35-37 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก เชื่อมต่อ HLA ประเภท I และเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกลำดับ
ที่สอง เชื่อมต่อ HLA ประเภท II
39. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 35-37 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก เชื่อมต่อ HLA ประเภท II และเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิก
ลำดับที่สอง เชื่อมต่อ HLA ประเภท I
40. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 35-37 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยการดัดแปลงซึ่งเพิ่มครึ่งชีวิตภายใน
ร่างกาย, การมุ่งเป้าหมายเชิงเซลล์, การรับเข้าแอนติเจน, การทำกรรมวิธีแอนติเจน, การดึงดูด MHC,
ความเสถียร MHC, การแสดงให้เห็นแอนติเจน หรือการผสมรวมของสิ่งเหล่านั้น
41. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 40โดยที่การดัดแปลงเป็นการ
เชื่อมประสานกับโปรตีนตัวพา, การเชื่อมประสานกับลิแกน, การเชื่อมประสานกับแอนติบอดีย์,
PEGylation, โพลีไซอะลิเลชัน HESylation, ส่วนเลียนแบบ PEG สายผสม, การหลอมรวม Fc, การ
หลอมรวมอัลบูมิน, การยึดติดอนุภาคนาโน, การหุ้มห่ออนุภาคนาโน, การหลอมรวมโคเลลเตอรอล,
การหลอมรวมเหล็ก, การเอซิเลชัน, การเอมิเดชัน, การไกลโคซิเลชัน, การออกซิเดชันสายโซ่ข้าง, การ
ฟอสฟอรเลชัน, การไบโอทินิเลชัน, การเติมของวัสดุที่ว่องไวต่อพื้นผิว, การเติมของกรดอะมิโนที่
เลียนแบบ หรือการเติมของกรดอะมิโนที่ไม่เป็นธรรมชาติ

                                                      หน้า 22 ของจำนวน 48 หน้า

42. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 40 หรือ 41 โดยที่เปปไทด์
ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยการดัดแปลงซึงเพิ่มการมุ่งเปาหมายเชิง
เซลล์สู่เซลล์ที่แสดงแอนติเจน
43. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 42โดยที่เซลล์ที่แสดง
แอนติเจนเป็นเซลล์ชนิดเดนดริติก
44. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 43 โดยที่เซลล์ชนิดเดนดริติก
ได้ถูกให้เป้าหมายโดยใช้เครื่องหมาย DEC205, XCR1, CD197, CD80, CD86, CD123, CD209,
CD273, CD283, CD289, CD184, CD85h, CD85j, CD85k, CD85d, CD85g, CD85a, CD141,
CD11c, CD83, ตัวรับ TSLP, Clec9a หรือ CD1a
45. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ44โดยที่เซลล์ชนิดเดนดริติก
ได้ถูกให้เป้าหมายโดยใช้เครื่องหมาย CD141, DEC205, Clec9a หรือ XCR1
46. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 42-45 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่
เซลล์ชนิดเดนดรดิกเป็นเซลล์ประเภทเดียวกัน
47. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 42-46 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่หนึ่ง
ชนิดหรือมากกว่านั้นของเซลล์ชนิดเดนดริติกได้ถูกเชื่อมต่อกับ T เซลล์
48. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ47โดยที่ T เซลล์เป็น T เซลล์
ประเภทเดียวกัน
49. เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-49 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกไม่ได้เป็นเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกที่ถูกให้
รายการในตารางที่ 2
50. เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-48 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปป
ไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกได้ถูกเชื่อมกับอย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิก
เพิ่มเติมที่ถูกให้รายการในตารางที่ 1 หรือ 2
51. ระบบการจัดส่งภายในร่างกาย ซึ่งประกอบรวมด้วยเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูก
แยกออกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง
52. ระบบการจัดส่งของข้อถือสิทธิ 51 โดยที่ระบบการจัดส่งรวมถึงเปปไทด์ที่แทรกผ่านเซลล์,
การหุ้มห่ออนุภาคนาโน, อนุภาคที่คล้ายกับไวรัส, ไลโพโซม หรือการผสมรวมอย่างใดๆของสิ่งเหล่านั้น

                                          หน้า 23 ของจำนวน 48 หน้า

53. ระบบการจัดส่งของข้อถือสิทธิ 52 โดยที่เปปไทด์ที่แทรกผ่านเซลล์เป็น TAT เปปไทด์,
ไวรัสโรคเริม VP22, ทรานส์พอแทน, Antp หรือการผสมรวมอย่างใดๆของสิงเหล่านั้น
54. เซลล์ซึ่งประกอบรวมด้วยเปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 1-50
ข้อใดข้อหนึ่ง
55. เซลล์ของข้อถือสิทธิ 54 โดยที่เซลล์เป็นเซลล์ที่แสดงแอนติเจน
56. เซลล์ของข้อถือสิทธิ 55โดยที่เซลล์เป็นเซลล์ชนิดเดนดริติก
57. เซลล์ของข้อถือสิทธิ 54-56ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์เป็นเชลล์ประเภทเดียวกัน
58. เซลล์ของข้อถือสิทธิ 54-57 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ได้ถูกเชื่อมต่อกับ T เซลล์
59. เซลล์ของข้อถือสิทธิ 58 โดยที่ T เซลล์เป็น T เซลล์ประเภทเดียวกัน
60.     องค์ประกอบ ซึ่งประกอบรวมด้วยเปปไทค์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของข้อถือ
สิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง
61.     องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 60โดยที่องค์ประกอบประกอบรวมด้วยอย่างน้อย 2, อย่าง
น้อย 3, อย่างน้อย 4, อย่างน้อย 5, อย่างน้อย 6, อย่างน้อย 7, อย่างน้อย 8, อย่างน้อย 9, อย่างน้อย
10,อย่างน้อย 11,อย่างน้อย 12,อย่างน้อย 13,อย่างน้อย 14,อย่างน้อย 15,อย่างน้อย 16,อย่าง
น้อย 17, อย่างน้อย 18, อย่างน้อย 19, อย่างน้อย 20, อย่างน้อย 21, อย่างน้อย 22, อย่างน้อย 23,
อย่างน้อย 24, อย่างน้อย 25, อย่างน้อย 26, อย่างน้อย 27, อย่างน้อย 28, อย่างน้อย 29, อย่างน้อย
30, อย่างน้อย 40, อย่างน้อย 50, อย่างน้อย 60, อย่างน้อย 70, อย่างน้อย 80, อย่างน้อย 90 หรอ
อย่างน้อย 100 ของเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออก ซึ่งประกอบรวมด้วยนิโอเอปิโทปอย่าง
จำเพาะต่อเนื่องอกตามตารางที่ 1 หรือ 2
62.   องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 61 โดยที่องค์ประกอบประกอบรวมด้วยตั้งแต่ประมาณ 2 ถึง
ประมาณ 20 เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิก หรือตั้งแต่ประมาณ 2 ถึงประมาณ 30 เปปไทด์ชนิดนีโอ
แอนติเจนิก
63.    องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 61 หรือ 62 โดยที่นิโอแอนติเจนเป็นอย่างเฉพาะสำหรับเนื้อ
งอกของผู้ทดสอบเฉพาะตัว
64.    องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 60-63 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่องค์ประกอบประกอบรวมเพิ่มเติม
ด้วยอย่างน้อย 1, อย่างน้อย 2, อย่างน้อย 3, อย่างน้อย 4, อย่างน้อย 5, อย่างน้อย 6, อย่างน้อย 7,
อย่างน้อย 8, อย่างน้อย 9, อย่างน้อย 10, อย่างน้อย 11, อย่างน้อย 12, อย่างน้อย 13, อย่างน้อย 14,
อย่างน้อย 15, อย่างน้อย 16, อย่างน้อย 17, อย่างน้อย 18, อย่างน้อย 19, อย่างน้อย 20, อย่างน้อย

                                           หน้า 24 ของจำนวน 48 หน้า

21, อย่างน้อย 22, อย่างน้อย 23, อย่างน้อย 24 หรออย่างน้อย 25, อย่างน้อย 26, อย่างน้อย 27,
อย่างน้อย 28, อย่างน้อย 29, อย่างน้อย 30, อย่างน้อย 40, อย่างน้อย 50, อย่างน้อย 60, อย่างน้อย
70, อย่างน้อย 80, อย่างน้อย 90 หรออย่างน้อย 100 เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกเพิ่มเติม
65.     องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 64 โดยที่องค์ประกอบประกอบรวมด้วยตั้งแต่ประมาณ 4
ถึงประมาณ 20 เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกเพิ่มเติม, ตั้งแต่ประมาณ 4 ถึงประมาณ 30 เปปไทด์
ชนิดนิโอแอนติเจนิกเพิ่มเติม
66. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 60-65 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่อย่างน้อยหนึ่งในเปปไทด์ชนิดนี
โอแอนติเจนิกเพิ่มเติมเป็นอย่างเฉพาะสำหรับเนื่องอกของผู้ทดสอบเฉพาะตัว
67. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 66 โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่จำเพาะต่อผู้
ทดสอบได้ถูกเลือกโดยการระบุความแตกต่างทางลำดับระหว่างจีโนม, เอ็กโซม และ/หรือทรานส์คริปโท
มของตัวอย่างเนื้องอกของผู้ทดสอบ และจีโนม, เอ็กโซม และ/หรือทรานส์คริปโทมของตัวอย่างที่ไม่ใช่
เนื้องอก
68. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 67 โดยที่ตัวอย่างเป็นเนื้อเยื่อเนื้องอกอย่างใหม่ หรือถูกฝัง
พาราฟินที่ถูกคงไว้ด้วยฟอร์มาลิน, เซลล์ที่ถูกแยกออกอย่างใหม่ หรือเซลล์เนื้องอกที่หมุนเวียน
69. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 67 หรือ 68 โดยที่ความแตกต่างทางลำดับได้ถูกบ่งชี้โดย
การจัดลำดับรุ่นถัดจากนั้น
70. โพลีนิวคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออกที่เข้ารหัสเปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกของ
ข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง
71. โพลีนิวคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 70โดยที่โพลีนิวคลีโอไทด์เป็น DNA
72. โพลีนิวคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 70 โดยที่โพลีนิวคลีโอไทด์เป็น RNA
73.    โพลีนิวคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ72โดยที่ RNA เป็น RNA ที่ขยายขนาด
ด้วยตัวเอง
74. โพลีนิวคลีโอไทค์ที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ72หรือ73โดยที่ RNA ได้ถูกตัดแปลง
เพื่อเพิ่มความเสถียร, เพิ่มการมุ่งเป้าหมายเชิงเซลล์, เพิ่มประสิทธิภาพการแปลรหัส, ความสามารถ
เป็นยาตัวเสริม, ความสามารถในการเข้าถึงไซโทซอล และ/หรือลดความเป็นพิษต่อเซลล์
75. โพลีนิวคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออกของข้อถือสิทธิ 74 โดยที่การตัดแปลงเป็นการเชื่อม
ประสานกับโปรตีนตัวพา, การเชื่อมประสานกับลิแกน, การเชื่อมประสานกับแอนติบอดีย์, การปรับให้

                                              หน้า 25 ของจำนวน 48 หน้า

เหมาะสมของโคดอน, การเพิ่มปรมาณ GC, การบรรจุรวมของนิวคลีโอไซด์ที่ถูกดัดแปลง, การบรรจุ
รวมของ 5'-แค-ป หรือแคปแอนะล็อก และ/หรือการบรรจุรวมของลำดับโพลี-A ที่ไม่ถูกซ่อน
76. เซลล์ซึ่งประกอบรวมด้วยโพลีนิวคลีโอไทด์ของข้อถือลีทธิ 70-75 ข้อใดข้อหนึ่ง
77. พาหะ ซึ่งประกอบรวมด้วยโพลีนิวคลีโอไทด์ของข้อถือสิทธิ 70-75 ข้อใดข้อหนึ่ง
78. พาหะของข้อถือสิทธิ77โดยที่โพลีนิวคลีโอไทด์ได้ถูกเชื่อมอย่างสามารถกระทำได้กับ
สารส่งเสริม
79. พาหะของข้อถือสิทธิ 77 หรือ 78 โดยที่พาหะเป็นส่วนจำลอง RNA ที่ขยายขนาดด้วย
ตัวเอง, พลาสมิด, ฟาจ, ทรานส์พอซัน, คอสมิด, ไวรัส หรือไวริออน
80. พาหะของข้อถือสิทธิ 79 โดยที่พาหะได้มาจากไวรัสที่เกี่ยวเนื่องกับต่อม, โรคเริมไวรัส,
เลนทิไวรัสหรือชนิดเทียมของสิ่งเหล่านั้น
81. ระบบการจัดส่งภายในร่างกาย ซึ่งประกอบรวมด้วยโพลีนิวคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออกของ
ข้อถือสิทธิ 70-75 ข้อใดข้อหนึ่ง
82. ระบบการจัดส่งของข้อถือลีทธิ 81 โดยที่ระบบการจัดส่งรวมถึงกรดนิวคลีอิกทรงกลม,
ไวรัส, อนุภาคที่คล้ายกับไวรัส, พลาสมิด, แบคทีเรีย พลาสมิด หรืออนุภาคนาโน
83. เซลล์ซึ่งประกอบรวมด้วยพาหะ หรือระบบการจัดส่งของข้อถือลีทธิ 77-82 ข้อใดข้อหนึ่ง
84. เซลล์ของข้อถือสิทธิ83โดยที่เซลล์เป็นเซลล์ที่แสดงแอนติเจน
85. เซลล์ของข้อถือสิทธิ 84 โดยที่เซลล์เป็นเซลล์ชนิดเดนดริติก
86. เซลล์ของข้อถือลีทธิ 85 โดยที่เชลล์เป็นเซลล์ชนิดเดนดริติกที่ไม่เติบโต
87. องค์ประกอบ ซึ่งประกอบรวมด้วยอย่างน้อยหนึ่งโพลีนิวคลีโอไทด์ของข้อถือสิทธิ 70-75
ข้อใดข้อหนึ่ง
88. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 87 โดยที่องค์ประกอบประกอบรวมด้วยอย่างน้อย 2, อย่าง
น้อย 3, อย่างน้อย 4, อย่างน้อย 5, อย่างน้อย 6, อย่างน้อย 7, อย่างน้อย 8, อย่างน้อย 9, อย่างน้อย
10,อย่างน้อย 11,อย่างน้อย 12,อย่างน้อย 13,อย่างน้อย 14,อย่างน้อย 15,อย่างน้อย 16,อย่าง
น้อย 17, อย่างน้อย 18, อย่างน้อย 19, อย่างน้อย 20, อย่างน้อย 21, อย่างน้อย 22, อย่างน้อย 23,
อย่างน้อย 24, อย่างน้อย 25, อย่างน้อย 26, อย่างน้อย 27, อย่างน้อย 28, อย่างน้อย 29, อย่างน้อย
30, อย่างน้อย 40, อย่างน้อย 50, อย่างน้อย 60, อย่างน้อย 70, อย่างน้อย 80, อย่างน้อย 90 หรอ
อย่างน้อย 100 ของโพลีนิวคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออก

                                             หน้า 26 ของจำนวน 48 หน้า

89. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 88 โดยที่องค์ประกอบประกอบรวมด้วยตั้งแต่ประมาณ 2
และประมาณ 20 ของโพลีนิวคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออก หรือตั้งแต่ประมาณ 2 ถึงประมาณ 30 ของโพลีนิ
วคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออก
90. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 87-89 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เบปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกได้ถูก
เข้ารหัสโดยพาหะ ซึ่งประกอบรวมด้วยหนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้นของโพลีนิวคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออก
91. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 87-90 ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่องค์ประกอบประกอบรวมเพิ่มเติม
ด้วยอย่างน้อย 1, อย่างน้อย 2, อย่างน้อย 3, อย่างน้อย 4, อย่างน้อย 5,อย่างน้อย 6, อย่างน้อย 7,
อย่างน้อย 8, อย่างน้อย 9, อย่างน้อย 10, อย่างน้อย 11, อย่างน้อย 12, อย่างน้อย 13, อย่างน้อย 14,
อย่างน้อย 15, อย่างน้อย 16, อย่างน้อย 17, อย่างน้อย 18, อย่างน้อย 19, อย่างน้อย 20, อย่างน้อย
21,อย่างน้อย 22,อย่างน้อย 23, อย่างน้อย 24, อย่างน้อย 25, อย่างน้อย 26, อย่างน้อย 27, อย่าง
น้อย 28, อย่างน้อย 29, อย่างน้อย 30, อย่างน้อย 40, อย่างน้อย 50, อย่างน้อย 60, อย่างน้อย 70,
อย่างน้อย80,อย่างน้อย90หรืออย่างน้อย 100โพลีนิวคลีโอไทค์ชนิดนีโอแอนติเจนิกเพิ่มเติมที่
เข้ารหัสสำหรับเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกเพิ่มเติม
92. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 88-91 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่หนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้นของเปป
ไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกเพิ่มเติมได้ถูกเข้ารหัสโดยพาหะ ซึ่งประกอบรวมด้วยหนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้น
ของโพลีนิว คลีโอไทด์ชนิดนิโอ แอนติ เจนิก เพิ่ม เติม
93. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 91 หรือ 92โดยที่องค์ประกอบประกอบรวมด้วยตั้งแต่
ประมาณ 4 ถึงประมาณ 20 โพลีนิวคลีโอไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกเพิ่มเติม หรือตั้งแต่ประมาณ 4 ถึง
ประมาณ 30 โพลีนิวคลีโอไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกเพิ่มเติม
94.     องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 91 หรือ 92 โดยที่โพลีนิวคลีโอไทด์ที่ถูกแยกออก และโพลีนิ
วคลีโอไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกเพิ่มเติมได้ถูกเชื่อม
95. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 94 โดยที่โพลีนิวคลีโอไทด์ได้ถูกเชื่อมโดยใช้กรดนิวคลีอิกที่
เข้ารหัสตัวเชื่อมโพลี-ไกลซีนหรือโพลี-เซรีน
96. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 87-95 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่อย่างน้อยหนึ่งในเปปไทด์ชนิดนีโอ
แอนติเจนิกเพิ่มเติมเป็นอย่างเฉพาะสำหรับเนื้องอกของผู้ทดสอบเฉพาะตัว
97. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 96 โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่จำเพาะต่อผู้ทดสอบได้
ถูกเลือกโดยการระบุความแตกต่างทางลำดับระหว่างจีโนม, เอ็กโซม และ/หรือทรานส์คริปโทมของตัวอย่าง
เนื้องอกของผู้ทดสอบ และจีโนม, เอิกโซม และ/หรือทรานส์คริปโทมของตัวอย่างที่ไม่ใช้เนื้องอก

                                         หน้า 27 ของจำนวน 48 หน้า

98. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 97 โดยที่ตัวอย่างเป็นเนื้อเยื่อเนื้องอกอย่างใหม่ หรือถูกฝัง
พาราฟินที่ถูกคงไว้ด้วยฟอร์มาลิน, เซลล์ที่ถูกแยกออกอย่างใหม่ หรือเซลล์เนื้องอกที่หมุนเวียน
99. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ97หรือ 98 โดยที่ความแตกต่างทางลำดับได้ถูกบ่งชี้โดย
การจัดลำดับรุ่นถัดจากนั้น
100. ตัวรับ T เซลล์ (TCR) ที่มีความสามารถของการเชื่อมต่ออย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนีโอ
แอนติเจนิกที่ถูกให้รายการในข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง หรือสารเชิงซ้อน MHC-เปปไทด์ซึ่ง
ประกอบรวมด้วยอย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกให้รายการในข้อถือสิทธิ 1 -50 ข้อใด
ข้อหนึ่ง
101. TCR ของข้อถือสิทธิ 100โดยที่ MHC ของ MHC-เปปไทด์เป็น MHC ประเภท I หรือ
ประเภท II
102. TCR ของข้อถือสิทธิ 100หรือ 101โดยที่ TCR เป็น TCR ชนิดไบสเปซิฟิกซึ่งประกอบ
รวมเพิ่มเติมด้วยขอบเขต ซึ่งประกอบรวมด้วยแอนติบอดีย์หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์ที่มีความสามารถ
ของการเชื่อมต่อแอนติเจน
103. TCR ของข้อถือสิทธิ 102 โดยที่แอนติเจนเป็นแอนติเจนที่จำเพาะต่อ T เซลล์
104. TCR ของข้อถือสิทธิ 102หรอ 103 โดยที่แอนติเจนเป็น CD3
105. TCR ของข้อถือสิทธิ 104 โดยที่แอนติบอดีย์หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์เป็นสารต้าน-CD3
scFv
106. ตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียม ซึ่งประกอบรวมด้วย: (i) โมเลกุลในการกระตุ้น T เซลล์; (ii)
บริเวณทรานส์เมมเบรน; และ (iii) ส่วนสารในการจำแนกแอนติเจนที่มีความสามารถของการเชื่อมต่อ
อย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกให้รายการในข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง หรือสาร
เชิงซ้อน MHC-เปปไทด์ซึ่งประกอบรวมด้วยอย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่ถูกให้รายการ
ในข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง
107. ตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของข้อถือสิทธิ 106 โดยที่ CD3-เซต้า เป็นโมเลกุลในการ
กระตุ้น T เซลล์
108. ตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของข้อถือสิทธิ 106หรือ 107ซึ่งประกอบรวมเพิ่มเติมด้วย
อย่างน้อยหนึ่งขอบเขตที่ส่งสัญญาณการกระตุ้นร่วม
109. ตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของข้อถือสิทธิ 106-108 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ขอบเขตที่ส่ง
สัญญาณเป็น CD28, 4-1BB, ICOS, OX40, ITAM หรือ Fc เอปซิลอน RI-แกมมา

                                                 หน้า 28 ของจำนวน 48 หน้า

110. ตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของข้อถือสิทธิ 106-109ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ส่วนสารใน
การจำแนกแอนติเจนมีความสามารถของการเชื่อมต่อเปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่ถูกแยกออกใน
เนื้อหาของ MHC ประเภท I หรือประเภท II
111. ตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของข้อถือสิทธิ 106-110ข้อใดข้อหนึ่งซึ่งประกอบรวม
ด้วยบริเวณทรานส์เมมเบรน CD3-เซต้า, CD28, CTLA-4, ICOS, BTLA, KIR, LAG3, CD137, OX40,
CD27, CD40L, Tim-3, A2aR หรือ PD-1
112. ตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของข้อถือสิทธิ 106-111 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์
ชนิดนิโอแอนติเจนิกได้ถูกตั้งอยู่ในขอบเขตภายนอกเซลล์ของโพลีเปปไทด์ที่เกี่ยวเนื่องกับเนื่องอก
113. ตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของข้อถือสิทธิ 106-112ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่ MHC ของ
MHC-เปปไทด์เป็น MHC ประเภท I หรือประเภท II
114. T เซลล์ซึ่งประกอบรวมด้วยตัวรับ T เซลล์หรือตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของข้อถือสิทธิ
100-113 ข้อใดข้อหนึ่ง,อย่างเป็นทางเลือก โดยที่ T เซลล์เป็นตัวช่วยหรือ T เซลล์ที่เป็นพิษต่อเซลล์
115. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ114โดยที่ T เซลล์เป็น T เซลล์ของผู้ทดสอบ
116. T เซลล์ซึ่งประกอบรวมด้วยตัวรับ T เซลล์ (TCR) ที่มีความสามารถของการเชื่อมต่อ
อย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง หรือสารเชิงซ้อน MHC-
เปปไทด์ซึ่งประกอบรวมด้วยอย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อ
หนึ่ง โดยที่ T เซลล์เป็น T เซลล์ที่ถูกแยกออกจากประชากรของ T เซลล์จากผู้ทดสอบที่ได้ถูกอบบ่ม
ด้วยเซลล์ที่แสดงแอนติเจน และหนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้นของอย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจ
นิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง เป็นเวลาเพียงพอที่จะทำให้มีฤทธิ์แก่ T เซลล์
117. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116 โดยที่ T เซลล์เป็น CD8+T เซลล์, T เซลล์ตัวช่วยหรือ T
เซลล์ที่เป็นพิษต่อเซลล์
118. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116หรือ 117โดยที่ประชากรของ T เซลล์จากผู้ทดสอบ เป็น
ประชากรของ CD8+ T เซลล์จากผู้ทดสอบ
119. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ116-118ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่หนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้นของอย่าง
น้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง เป็นเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจ
นิกที่จำเพาะต่อผู้ทดสอบ

                                            หน้า 29 ของจำนวน 48 หน้า

120. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-119ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่
จำเพาะต่อผู้ทดสอบมีนีโอ-เอปิโทปเนื้องอกที่แตกต่างกัน ที่เป็นเอปิโทปอย่างเฉพาะต่อเนื้องอกของผู้
ทดสอบ
121. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-120ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่
จำเพาะต่อผู้ทดสอบ เป็นผลิตภัณฑ์ที่แสดงออกของการกลายพันธุ์ชนิดนอนไซเลนท์อย่างจำเพาะต่อ
เนื้องอกที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในตัวอย่างที่ไม่ใช่เนื่องอกของผู้ทดสอบ
122. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-121 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่
จำเพาะต่อผู้ทดสอบ เชื่อมต่อ HLA โปรตีนของผู้ทดสอบ
123. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-122ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่
จำเพาะต่อผู้ทดสอบ เชื่อมต่อ HLA โปรตีนของผู้ทดสอบด้วย IC50 น้อยกว่า 500 nM0
124. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-123 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ CD8+ T เซลล์ที่ถูกทำให้มีฤทธิ์ได้
ถูกแยกออกจากเซลล์ที่แสดงแอนติเจน
125. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-124ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนเป็นเซลล์
ชนิดเดนดริติก หรือ B เซลล์ที่ถูกขยาย CD40L
126. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-125ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนเป็นเซลล์ที่
ไม่ได้ถูกแปลงยีน
127. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-126ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนเป็นเซลล์ที่
ไม่ได้ถูกทำให้ติดเชื้อ
128. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-127ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนเป็นประเภท
 เดียวกัน
129. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-128ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนได้ถูกบำบัด
สู่เปปไทด์ที่เกี่ยวเนื่องกับ MHC ภายในเซลล์ชนิดเส้นยาวจากพื้นผิวของเหล่านั้น
130. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 129 โดยที่การบำบัดต่อเปปไทด์ที่เกี่ยวเนื่องกับ MHC ภายใน
เซลล์ชนิดเล่นยาว ประกอบรวมด้วยการเพาะเชื่อเซลล์ที่ประมาณ 26ซ
131. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 129 โดยที่การบำบัดต่อเปปไทด์ที่เกี่ยวเนื่องกับ MHC ภายใน
เซลล์ชนิดเล่นยาว ประกอบรวมด้วยการบำบัดเซลล์ด้วยสารละลายกรดอย่างอ่อน
132. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-131 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนได้ถูก
กระตุ้นเป็นรอบด้วยอย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1 -50 ข้อใดข้อหนึ่ง

                                             หน้า 30 ของจำนวน 48 หน้า

133. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 132 โดยที่การกระตุ้นเป็นรอบประกอบรวมด้วยการอบบ่มเซลล์
ที่แสดงแอนติเจน ในการปรากฏอยู่ของอย่างน้อยประมาณ 2 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ของแต่ละอย่างของ
อย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง
134. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-133ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่สัดส่วนของ T เซลล์ที่ถูกแยกออก
ต่อเซลล์ที่แสดงแอนติเจนอยู่ระหว่างประมาณ30:1 และ 300:1
135. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ116-134ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่การอบบ่มประชากรที่ถูกแยกออก
ของ T เซลล์ มีการปรากฏอยู่ของ IL-2 และ IL-7
136. T เซลล์ของข้อถือสิทธิ 116-135ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ MHC ของ MHC-เปปไทด์เป็น
MHC ประเภท I หรือประเภท II
137. วิธีสำหรับการทำให้มีฤทธิ์ของ T เซลล์ที่จำเพาะต่อเนื่องอกซึ่งประกอบรวมด้วย:
(a) การแยกส่วนประชากรของ T เซลล์จากผู้ทดสอบ; และ
(b) การอบบ่มประชากรที่ถูกแยกออกของ T เซลล์ ด้วยเซลล์ที่แสดงแอนติเจน และอย่าง
น้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง เป็นเวลาเพียงพอที่จะทำให้มี
ฤทธิ์แก่ T เซลล์
138. วิธีของข้อถือสิทธิ 137 โดยที่ T เซลล์เป็น CD8+ T เซลล์, T เซลล์ตัวช่วย หรือ T เซลล์ที่
เป็นพิษต่อเซลล์
139. วิธีของข้อถือสิทธิ 137หรือ 138โดยที่ประชากรของเซลล์จากผู้ทดสอบ เป็น
ประชากรของ CD8+ T เซลล์จากผู้ทดสอบ
140. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-139 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่หนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้นของอย่างน้อย
หนึ่งเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง เป็นเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่
จำเพาะต่อผู้ทดสอบ
141. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-140 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่จำเพาะ
ต่อผู้ทดสอบมีนีโอ-เอปิโทปเนื้องอกที่แตกต่างกันที่เป็นเอปิโทปอย่างเฉพาะต่อเนื้องอกของผู้ทดสอบ
142. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-141 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่จำเพาะ
ต่อผู้ทดสอบ เป็นผลิตภัณฑ์ที่แสดงออกของการกลายพันธุ์ชนิดนอนไซเลนท์อย่างจำเพาะต่อเนื้องอกที่
ไม่ได้ปรากฏอยู่ในตัวอย่างที่ไม่ใช่เนื้องอกของผู้ทดสอบ
143. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-142 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกที่จำเพาะ
ต่อผู้ทดสอบ เชื่อมต่อ HLA โปรตีนของผู้ทดสอบ

                                                    หน้า 31 ของจำนวน 48 หน้า

144. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-143 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกที่จำเพาะ
ต่อผู้ทดสอบ เชื่อมต่อ HLA โปรตีนของผู้ทดสอบด้วย IC50 น้อยกว่า 500 nM
145. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-144 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่วิธีประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยการแยก
ออกของ T เซลล์ที่ถูกทำให้มีฤทธิ์จากเซลล์ที่แสดงแอนติเจน
146. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-145 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่วิธีประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยการ
ทดสอบ T เซลล์ที่ถูกทำให้มีฤทธิ์ สำหรับการทำให้ชัดแจ้งของความว่องไวต่ออย่างน้อยหนึ่งในเปปไทด์
ชนิดนีโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง
147. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-146 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนเป็นเซลล์ชนิด
เดนดริติก หรือ B เซลล์ที่ถูกขยาย CD40L
148. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-147 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนเป็นเซลล์ที่ไม่ได้
ถูกแปลงยีน
149. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-148ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนเป็นเซลล์ที่ไม่ได้
ถูกทำให้ติดเชื้อ
150. วิธีข้อถือสิทธิ 137-149 ของข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนเป็นประเภท
 เดียวกัน
151. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-150 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนได้ถูกบำบัดสู่
เปปไทด์ที่เกี่ยวเนื่องกับ MHC ภายในเซลล์ชนิดเล่นยาวจากพื้นผิวของเหล่านั้น
152. วิธีของข้อถือสิทธิ 151 โดยที่การบำบัดต่อเปปไทด์ที่เกี่ยวเนื่องกับ MHC ภายในเซลล์
ชนิดเส้นยาว ประกอบรวมด้วยการเพาะเชื่อเซลล์ที่ประมาณ 26ซ
153. วิธีของข้อถือสิทธิ 151 โดยที่การบำบัดต่อเปปไทด์ที่เกี่ยวเนื่องกับ MHC ภายในเซลล์
ชนิดเส้นยาว ประกอบรวมด้วยการบำบัดเซลล์ด้วยสารละลายกรดอย่างอ่อน
154. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-153ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่แสดงแอนติเจนได้ถูกกระตุ้นเป็น
รอบด้วยอย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง
155. วิธีของข้อถือสิทธิ 154 โดยที่การกระตุ้นเป็นรอบประกอบรวมด้วยการอบบ่มเซลล์ที่
แสดงแอนติเจน ในการปรากฏอยู่ของอย่างน้อยประมาณ 2 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ของแต่ละอย่างของ
อย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง
156. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-155 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สัดส่วนของ T เซลล์ที่ถูกแยกออกต่อ
เซลล์ที่แสดงแอนติเจน อยู่ระหว่างประมาณ 30:1 และ 300:1

                                              หน้า 32 ของจำนวน 48 หน้า

157. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-156 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่การอบบ่มประชากรที่ถูกแยกออกของ T
เซลล์ มีการปรากฏอยู่ของ IL-2 และ IL-7
158. วิธีของข้อถือสิทธิ 137-157 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ MHC ของ MHC-เปปไทด์เป็น MHC
ประเภท I หรือประเภท II
159. องค์ประกอบ ซึ่งประกอบรวมด้วย T เซลล์ที่จำเพาะต่อเนื้องอกที่ถูกทำให้มีฤทธิ์ที่ถูก
ผลิตโดยวิธีของข้อถือสิทธิ 137-158 ข้อใดข้อหนึ่ง
160. วิธีของการบำบัดโรคมะเร็งในผู้ทดสอบ ซึ่งประกอบรวมด้วยการให้ยาแก่ผู้ทดสอบด้วย
ปริมาณที่มีประสิทธิผลเชิงการรักษาของ T เซลล์ที่จำเพาะต่อเนื่องอกที่ถูกทำให้มีฤทธิ์ของข้อถือสิทธิ
11 6-1 36 ข้อใดข้อหนึ่ง หรือถูกผลิตโดยวิธีของข้อถือสิทธิ 1 37-1 58 ข้อใดข้อหนึ่ง
161. วิธีของข้อถือสิทธิ 160โดยที่การให้ยาประกอบรวมด้วยการให้ยาตั้งแต่ประมาณ 106
ถึง1012,ตั้งแต่ประมาณ108ถึง 1011หรือตั้งแต่ประมาณ109ถึง 1010ของ T เซลล์ที่จำเพาะต่อเนื้อ
งอกที่ถูกทำให้มีฤทธิ์
162. กรดนิวคลีอิก ซึ่งประกอบรวมด้วยสารส่งเสริมที่ถูกเชื่อมอย่างสามารถกระทำได้กับโพลี
นิวคลีโอไทด์ที่เข้ารหัสตัวรับ T เซลล์ของข้อถือสิทธิ114-161 ข้อใดข้อหนึ่ง
163. กรดนิวคลีอิกของข้อถือสิทธิ 162 โดยที่ TCR มีความสามารถของการเชื่อมต่ออย่าง
น้อยหนึ่งเปปไทค์ชนิดนีโอแอนติเจนิก ในสิ่งแวดล้อมของสารเชิงซ้อนฮิสโทคอมพาทิบิลิตีอย่างหลัก
(MHC) ประเภท I หรือประเภท II
164. กรดนิวคลีอิก ซึ่งประกอบรวมด้วยสารส่งเสริมที่ถูกเชื่อมอย่างสามารถกระทำได้กับโพลี
นิวคลีโอไทด์ที่เข้ารหัสตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของข้อถือสิทธิ 106-113ข้อใดข้อหนึ่ง
165. กรดนิวคลีอิกของข้อถือสิทธิ 164โดยที่ส่วนสารในการจำแนกแอนติเจนมี
ความสามารถของการเชื่อมต่ออย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิก ในสิ่งแวดล้อมของสาร
เชิงซ้อนอิสโทคอมพาทีบิลิตีอย่างหลัก (MHC) ประเภท I หรือประเภท II
166. กรดนิวคลีอิกของข้อถือสิทธิ 164 โดยที่เปปไทด์ชนิดนิโอแอนติเจนิกได้ถูกตั้งอยู่ใน
ขอบเขตภายนอกเซลล์ของโพลีเปปไทด์ที่เกี่ยวเนื่องกับเนื้องอก
167. กรดนิวคลีอิกของข้อถือสิทธิ 164-166 ข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งประกอบรวมด้วยบริเวณทรานส์
เมมเบรน CD3-เซต้า, CD28, CTLA-4, ICOS, BTLA, KIR, LAG3, CD137, OX40, CD27, CD40L,
Tim-3, A2aR หรือ PD-1

                                                   หน้า 33 ของจ้านวน 48 หน้า

168. แอนติบอดีย์หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์ที่มีความสามารถของการเชื่อมต่ออย่างน้อยหนึ่ง
เปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง หรือสารเชิงซ้อน MHC-เปปไทด์ซึ่ง
ประกอบรวมด้วยอย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิกของข้อถือสิทธิ 1-50 ข้อใดข้อหนึ่ง, อย่าง
เป็นทางเลือก โดยที่ชินส่วนแอนติบอดีย์เป็นตัวผูกรัด T เซลล์ชนิดไบสเปซิฟิก (BiTE)
169. แอนติบอดีย์ หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์ของข้อถือสิทธิ 168โดยที่แอนติบอดีย์ หรือ
ชิ้นส่วนแอนติบอดีย์ เชื่อมต่อส่วนภายนอกเซลล์ของอย่างน้อยหนึ่งเปปไทด์ชนิดนีโอแอนติเจนิก
170. แอนติบอดีย์ หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์ของข้อถือสิทธิ 168หรือ 169 โดยที่
(a) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย p2M ยีน โดยที่ C2 เป็น
(i) RMERELKKWSIQTCLSARTGLSISCTTLNSPPLKKMSMPAV หรือ
(ii) LCSRYSLFLAWRLSSVLQRFRFTHVIQQRMESQIS;
(b) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย EGFR ยีน โดยที่ AxByCz เป็น
IPVAIKELREATSPKANKEILDEAYVMASVDNPHVCRLLGICLTSTVQLIMQLMPFGCLL
DYVREHKDNIGSQYLLNWCVQIAKGMNYLEDRRLVHRDLAA;
(c) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย BTK ยีน โดยที่ AxByCz เป็น
MIKEGSMSEDEFIEEAKVMMNLSHEKLVQLYGVCTKQRPIFIITEYMANGSLLNYLREM
RHRFQTQQLLEMCKDVCEAMEYLESKQFLHRDLAARNCLVND; หรอ
(d) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย ESR1 ยีน โดยที่ AxByCz เป็น
(i)
HLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLYGLL
LEMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGEA,
(ii)
NQGKCVEGMVEIFDMLLATSSRFRMMNLQGEEFVCLKSIILLNSGVYTFLPSTLK
SLEEKDHIHRVLDKITDTLIHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSH,
(iii)
IHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLCDLL
LEMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGE,

                                           หน้า 34 ของจำนวน 48 หน้า

(iv)
IHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLNDLL
LEMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGE หรือ
(v)
IHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLSDLLL
EMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGE; และ
(e) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย HER2 ยีน โดยที่ AxByCz เป็น
GSGAFGTVYKGIWIPDGENVKIPVAIKVLRENTSPKANKEILDEAYVMAGLGSPYV
SRLLGICLTSTVQLVTQLMPYGCLLDHVRENRGRLGSQDLLNWCM;
(f) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย GATA3 ยีน โดยที่ Cz เป็น
(i)
PGRPLQTHVLPEPHLALQPLQPHADHAHADAPAIQPVLWTTPPLQHGHRHGLEP
CSMLTGPPARVPAVPFDLHFCRSSIMKPKRDGYMFLKAESKIMFATLQRSSLWCLCSNH หรือ
(ii)
PRPRRCTRHPACPLDHTTPPAWSPPWVRALLDAHRAPSESPCSPFRLAFLQEQY
HEA; หรือ
(g) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย TMPRSS2 ยีน, โพลีเปปไทด์ดั้งเดิม
ลำดับที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย ERG, y เป็น 0 และ AxByCz เป็น
MALNSEALSWSEDQSLFECAYGTPHLAKTEMTASSSSDYGQTSKMSPRVPQQDW
171. แอนติบอดีย์หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์ของข้อถือสิทธิ 168-170 ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่
แอนติบอดีย์หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์เป็นแอนติบอดีย์หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์ชนิดไบสเปซิฟิก
172. แอนติบอดีย์หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์ของข้อถือสิทธิ 171 โดยที่หนึ่งขอบเขตที่เชื่อมต่อ
แอนติเจนของแอนติบอดีย์หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์ชนิดไบสเปซิฟิกเป็นขอบเขตที่เชื่อมต่อสารต้าน-CD3
173. เซลล์ที่ถูกดัดแปลงที่ถูกแทรกรหัส หรือถูกเปลี่ยนแปรด้วยกรดนิวคลีอิกของข้อถือสิทธิ
162-172 ข้อใดข้อหนึ่ง
174. เซลล์ที่ถูกดัดแปลงของข้อถือสิทธิ 173โดยที่เซลล์ที่ถูกดัดแปลงเป็น T เซลล์, เม็ดเลือด
ขาวลิมโฟไซต์ที่แทรกซึมเนื้องอก, NK-T เซลล์, เซลล์ที่แสดงออกถึง TCR, CD4+ T เซลล์, CD8+ T
เซลล์หรือ NK เซลล์

                                      หน้า 35 ของจำนวน 48 หน้า

175. องค์ประกอบ ซึ่งประกอบรวมด้วยตัวรับ T เซลล์หรือตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของ
ข้อถือสิทธิ 100-113ข้อใดข้อหนึ่ง
176. องค์ประกอบ ซึ่งประกอบรวมด้วย T เซลล์ของผู้ทดสอบประเภทเดียวกัน ที่มีตัวรับ T
เซลล์หรือตัวรับแอนติเจนชนิดทำเทียมของข้อถือสิทธิ 100-113ข้อใดข้อหนึ่ง
177. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 175 หรือ 176 โดยที่องค์ประกอบประกอบรวมเพิ่มเติม
ด้วยสารยับยั้งจุดตรวจสอบภูมิคุ้มกัน
178. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 177 โดยที่องค์ประกอบประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยอย่าง
น้อยสองสารยับยั้งจุดตรวจสอบภูมิคุ้มกัน
179. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 177หรือ 178โดยที่แต่ละอย่างของสารยับยั้งจุด
ตรวจสอบภูมิคุ้มกันจะยับยั้งโปรตีนจุดตรวจสอบที่ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่งประกอบด้วย ตระกูลลิแกน
CTLA-4, PDL1, PDL2, PD1, B7-H3, B7-H4, BTLA, HVEM, TIM3, GAL9, LAG3, VISTA, KIR,
2B4, CD160, CGEN-15049, CHK 1, CHK2, A2aR และ B-7 หรือการผสมรวมของสิ่งเหล่านั้น
180. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 177หรือ 178โดยที่แต่ละอย่างของสารยับยั้งจุด
ตรวจสอบภูมิคุ้มกันจะทำอันตรกริยากับลิแกนของโปรตีนจุดตรวจสอบที่ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย ตระกูลลิแกน CTLA-4, PDL1, PDL2, PD1, B7-H3, B7-H4, BTLA, HVEM, TIM3,
GAL9, LAG3, VISTA, KIR, 2B4, CD160, CGEN-15049, CHK 1, CHK2, A2aR และ B-7 หรือการ
ผสมรวมของสิ่งเหล่านั้น
181. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 176-180ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ T เซลล์เป็น PD-1 และ/หรือ
T เซลล์ที่หยุดทำงาน CTLA4, อย่างเป็นทางเลือก,โดยที่ PD-1 และ/หรือ T เซลล์ที่หยุดทำงาน CTLA4
ได้ถูกสร้างโดยใช้ระบบ CRISPR
182. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิก่อนหน้านี้ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่องค์ประกอบประกอบรวม
เพิ่มเติมด้วยตัวปรับแปลงภูมิคุ้มกันหรือยาตัวเสริม
183. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 182 โดยที่ตัวปรับแปลงภูมิคุ้มกันเป็นลิแกนตัวกระตุ้นร่วม
, ลิแกน TNF, ลิแกน lg ตระกูลใหญ่, CD28, CD80, CD86, ICOS, CD40L, OX40, CD27, GITR,
CD30, DR3, CD69 หรือ 4-1BB
184. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 182 โดยที่ตัวปรับแปลงภูมิคุ้มกันเป็นอย่างน้อยหนึ่งเซลล์
โรคมะเร็ง หรือส่วนสกัดของเซลล์โรคมะเร็ง

                                     หน้า 36 ของจำนวน 48 หน้า

185. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 184 โดยที่เซลล์โรคมะเร็งเป็นประเภทเดียวกันกับผู้
ทดสอบที่มีความต้องการขององค์ประกอบ
186. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 185 โดยที่เซลล์โรคมะเร็งได้ถูกทำให้แตกตัว หรือได้ถูก
เผยออกส่การฉายรังสี UV
187. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 182โดยที่องค์ประกอบประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยยาตัวเสริม
188. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 187 โดยที่ยาตัวเสริมได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่งประกอบด้วย:
Poly(l:C), Poly-ICLC, ตัวทำการ STING, 1018 ISS, เกลืออะลูมิเนียม, Amplivax, AS15, BCG, CP-
870,893, CpG7909, CyaA, dSLIM, GM-CSF, IC30, IC31, Imiquimod, ImuFact IMP321, IS
Patch, ISS, ISCOMATRIX, Juvlmmune, LipoVac, MF59, โมโนฟอสฟอริลลิพิด A, Montanide IMS
1312 VG, Montanide ISA 206 VG, Montanide ISA 50 V2, Montanide ISA 51 VG, OK-432, OM-
174, OM-197-MP-EC, ตัวทำการ ISA-TLR2, ONTAK, ระบบพาหะ PepTel?, PLG อนุภาคขนาด
เล็ก, เรซิควิมอด, SRL172, ไวโรโซม และอนุภาคที่คล้ายกับไวรัสอื่น, YF-17D, VEGF แทรป, R848,
เบต้า-กลูแคน, Pam3Cys, Pam3CSK4, อะครลิก หรือเมทาครลิกโพลีเมอร์, โคโพลีเมอร์ของมาเลอิก
แอนไฮไดรด์ และ QS21 สติมูลอน
189. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ187 หรือ 188โดยที่องค์ประกอบชักนำการตอบสนองเชิง
ของเหลวในร่างกาย เมื่อถูกให้ยาแก่ผู้ทดสอบ
190. องค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 189 โดยที่องค์ประกอบชักนำ T เซลล์ตัวช่วยชนิด 1 เมื่อ
ถูกให้ยาแก่ผู้ทดสอบ
191. วิธีของการยับยั้งการเติบโตของเซลล์เนื่องอกที่แสดงออกถึงนีโอเอปิโทปอย่างจำเพาะ
ต่อเนื่องอก ซึ่งประกอบรวมด้วยการสัมผัสเซลล์เนื้องอกกับเปปไทด์, โพลีนีวคลีโอไทด์, ระบบการจัดส่ง
,พาหะ, องค์ประกอบ, แอนติบอดีย์หรือเซลล์ของข้อถือสิทธิ 1-190 ข้อใดข้อหนึ่ง
192. วิธีของการป้องกันโรคของผู้ทดสอบ ซึ่งประกอบรวมด้วยการสัมผัสเซลล์ของผู้ทดสอบ
กับเปปไทด์, โพลีนีวคลีโอไทด์, ระบบการจัดส่ง, พาหะ, องค์ประกอบ, แอนติบอดีย์หรือเซลล์ของข้อ
ถือสิทธิ 1-190 ข้อใดข้อหนึ่ง
193. วิธีของข้อถือสิทธิ 192 โดยที่
(a) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย สูตรเคมี2M ยีน โดยที่ Cz เป็น
(i) RMERELKKWSIQTCLSARTGLSISCTTLNSPPLKKMSMPAV หรือ
(ii) LCSRYSLFLAWRLSSVLQRFRFTHVIQQRMESQIS;

                                                   หน้า 37 ของจำนวน 48 หน้า

(b) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย EGFR ยีน โดยที่ AxByCz เป็น
IPVAIKELREATSPKANKEILDEAYVMASVDNPHVCRLLGICLTSTVQLIMQLMPFGCLL
DYVREHKDNIGSQYLLNWCVQIAKGMNYLEDRRLVHRDLAA;
(c) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย BTK ยีน โดยที่ AxByC2 เป็น
MIKEGSMSEDEFIEEAKVMMNLSHEKLVQLYGVCTKQRPIFIITEYMANGSLLNYLREM
RHRFQTQQLLEMCKDVCEAMEYLESKQFLHRDLAARNCLVND; หรือ
(d) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย ESR1 ยีน โดยที่ AxByC2 เป็น
(i)
HLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLYGLLL
 EMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGEA,
(ii)
NQGKCVEGMVEIFDMLLATSSRFRMMNLQGEEFVCLKSIILLNSGVYTFLPSTLKS
LEEKDHIHRVLDKITDTLIHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSH,
(iii)
IHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLCDLL
LEMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGE,
(iv)
IHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLNDLL
LEMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGE หรือ
(v)
IHLMAKAGLTLQQQHQRLAQLLLILSHIRHMSNKGMEHLYSMKCKNWPLSDLLL
EMLDAHRLHAPTSRGGASVEETDQSHLATAGSTSSHSLQKYYITGE; และ
(e) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย HER2 ยีน โดยที่ AxByสูตรเคมี2 เป็น
GSGAFGTVYKGIWIPDGENVKIPVAIKVLRENTSPKANKEILDEAYVMAGLGSPYVSRL
LGICLTSTVQLVTQLMPYGCLLDHVRENRGRLGSQDLLNWCM;
(f) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมได้ถูกเข้ารหัสโดย GATA3 ยีน โดยที่ C2 เป็น
(i)
PGRPLQTHVLPEPHLALQPLQPHADHAHADAPAIQPVLWTTPPLQHGHRHG

                                              หน้า 38 ของจำนวน 48 หน้า

LEPCSMLTGPPARVPAVPFDLHFCRSSIMKPKRDGYMFLKAESKIMFATLQRSSL
WCLCSNH หรือ
(ii)
PRPRRCTRHPACPLDHTTPPAWSPPWVRALLDAHRAPSESPCSPFRLAFLQEQYHEA;
หรือ
(g) โพลีเปปไทด์ดั้งเดิมลำดับแรกได้ถูกเข้ารหัสโดย TMPRSS2 ยีน, โพลีเปปไทด์ดั้งเดิม
ลำดับที่สองได้ถูกเข้ารหัสโดย ERG, y เป็น 0 และ AxByC2 เป็น
MALNSEALSWSEDQSLFECAYGTPHLAKTEMTASSSSDYGQTSKMSPRVPQQDW
194. วิธีของการบำบัดโรคมะเริง หรือการเริ่มต้น, การปรับเพิ่ม หรือการขยายเวลาการ
ตอบสนองการต้านเนื้องอก ในผู้ทดสอบที่มีความต้องการของสิ่งเหล่านั้น ซึ่งประกอบรวมด้วยการให้
ยาแก่ผู้ทดสอบด้วยเปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ, แอนติบอดีย์หรือเซลล์ของข้อถือ
สิทธิ 1-190ข้อใดข้อหนึ่ง
195. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-194 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ผู้ทดลอบเป็นมนุษย์
196. วิธีของข้อถือสิทธิ 195 โดยที่ผู้ทดสอบมีโรคมะเร็ง
197. วิธีของข้อถือสิทธิ 196 โดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่งประกอบด้วย ระบบ
ปัสสาวะ, โรคเชิงนรีเวชวิทยา, ปอด, ทางเดินอาหาร, โรคมะเร็งศีรษะและคอ, ไกลโอบลาสโทมาชนิด
เนื้อร้าย, เนื้องอกมีโซเธลิโอมาชนิดเนื้อร้าย, โรคมะเร็งหน้าอกที่ไม่ใช่ชนิดแพร่กระจาย หรือชนิด
แพร่กระจาย, เนื้องอกเมลาโนมาชนิดเนื้อร้าย, มะเร็งชนิดเซลล์เมอร์เคล หรือก้อนมะเร็งกระดูก และ
เนื้อเยื่ออ่อน, เซลล์ผิดปกติในระบบเลือด, เนื้องอกไขกระดูกชนิดหลายส่วน, มะเร็งเม็ดเลือดขาวไข
กระดูกชนิดเฉียบพลัน, มะเร็งเม็ดเลือดขาวไขกระดูกชนิดเรื่อรัง, โรคไมอีโลดิสพลาสติก และมะเร็งเม็ด
เลือดขาวลิมโฟบลาสติกชนิดเฉียบพลัน, โรคมะเร็งเซลล์ปอดที่ไม่ใช่ขนาดเล็ก (NSCLC), โรคมะเร็ง
หน้าอก, โรคมะเร็งทวารหนักชนิดแพร่กระจาย, โรคมะเร็งต่อมลูกหมากที่ว่องไวต่อฮอร์โมน หรือที่ดื้อ
ต่อฮอร์โมน, โรคมะเร็งทวารหนัก, โรคมะเร็งรังไข่, โรคมะเร็งเซลล์ตับ, โรคมะเร็งเซลล์ไต, โรคมะเร็งดับ
อ่อน, โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, โรคมะเร็งหลอดอาหาร, โรคมะเร็งเซลล์ดับ, โรคมะเร็งเซลล์ท่อน้ำดี,
โรคมะเร็งเซลล์ที่เป็นเกล็ดในศีรษะและคอ ก้อนมะเร็งเนื้อเยื่ออ่อน และโรคมะเร็งเซลล์ปอดขนาดเล็ก
198. วิธีของข้อถือสิทธิ191-197ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่เปปไทด์,โพลีนิวคลีโอไทด์.พาหะ,
องค์ประกอบ, แอนติบอดีย์หรือเซลล์ของข้อถือสิทธิ 1-190ข้อใดข้อหนึ่ง เป็นไปเพื่อการใช้ในการ
บำบัดโรคมะเร็งที่สัมพันธ์กันตามตารางที่ 1 หรือตารางที่ 2

                                               หน้า 39 ของจำนวน 48 หน้า

199. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-198 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ,
องค์ประกอบ, แอนติบอดีย์หรือเซลล์ของข้อถือสิทธิ 1-190ข้อใดข้อหนึ่ง เป็นไปเพื่อการใช้ในการ
บำบัดผู้ทดสอบด้วยชนิด HLA ที่เป็นชนิด HLA ที่สัมพันธ์กันตามตารางที่ 1 หรือตารางที่ 2
200. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-199 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ผู้ทดสอบได้ถูกทำให้ได้รับการดึงออก
เชิงศัลยกรรมของ เนื้องอก
201. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-200 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ,
องค์ประกอบ หรือเซลล์ได้ถูกให้ยาผ่านการให้ยาทางหลอดเลือดดำ, ทางช่องท้อง, ทางก้อนเนื้องอก,
ทางผิวหนัง หรือทางใต้ผิวหนัง
202. วิธีของข้อถือสิทธิ 201 โดยที่เปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ หรือ
เซลล์ได้ถูกให้ยาเข้าสู่บริเวณทางกายวิภาค ที่ระบายเข้าสู่ช่องต่อมน้ำเหลือง
203. วิธีของข้อถือสิทธิ 202 โดยที่การให้ยาได้เข้าสู่หลายช่องต่อมน้ำเหลือง
204. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-203 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่การให้ยาเป็นไปโดยเส้นทางใต้ผิวหนัง
หรือทางผิวหนัง
205. วิธีของข้อถือสิทธิ 201 โดยที่เปปไทด์ได้ถูกให้ยา
206. วิธีของข้อถือสิทธิ 205 โดยที่การให้ยาเป็นไปทางก้อนเนื้องอก
207. วิธีของข้อถือสิทธิ 201 โดยที่โพลีนิวคลีโอไทด์, โดยมีทางเลือกเป็น RNA, ได้ถูกให้ยา
208. วิธีของข้อถือสิทธิ201 หรือ 207 โดยที่โพลีนิวคลีโอไทดได้ถูกให้ยาทางหลอดเลือดดำ
209. วิธีของข้อถือสิทธิ 201 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์เป็น T เซลล์ หรอเซลล์ชนิดเดนดริติก
210. วิธีของข้อถือสิทธิ201 หรือ 209 โดยที่เปปไทด์ หรือโพลีนิวคลีโอไทด์ประกอบรวมด้วย
่,วนสารที่มุ่งเปาหมายเชิงเซลล์ที่ปรากฏแอนติเจน
211. วิธีของข้อถือสิทธิ 201 หรือ 209หรือ 210โดยที่เซลล์เป็นเซลล์ประเภทเดียวกัน
212. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-211 ข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยการให้ยาอย่าง
น้อยหนึ่งสารยับยั้งจุดตรวจสอบภูมิคุ้มกันแก่ผู้ทดสอบ
213. วิธีของข้อถือสิทธิ 212 โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบเป็นสารเชิงการรักษาทางชีวภาพ
หรือโมเลกุลขนาดเล็ก
214. วิธีของข้อถือสิทธิ 212 หรอ 213 โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย โมโนโคลนอลแอนติบอดีย์, แอนติบอดีย์ลักษณะของมนุษย์, แอนติบอดีย์ของมนุษย์แบบ
สมบูรณ์ และโปรตีนการหลอมรวม หรือการผสมรวมของสิ่งเหล่านั้น

                                             หน้า 40 ของจำนวน 48 หน้า

215. วิธีของข้อถือสิทธิ 212-21 4 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบเป็น PD-1
แอนติบอดีย์ หรือ PD-L1 แอนติบอดีย์
216. วิธีของข้อถือสิทธิ 212-214 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบได้ถูกเลือกจาก
กลุ่มซึ่งประกอบด้วย อิพิลิมูแมบ, เทรเมลิมูแมบ, นิโวลูแมบ, อะเวลูแมบ, เดอร์วาลูแมบ, อะเทโซลิซู
แมบ, เพมโบรลิซูแมบ และการผสมรวมอย่างใดๆของสิ่งเหล่านั้น
217. วิธีของข้อถือสิทธิ 212-216ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบจะยับยั้งโปรตีน
จุดตรวจสอบที่ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่งประกอบด้วย ตระกูลลิแกน CTLA-4, PDL1, PDL2, PD1, B7-H3,
B7-H4, BTLA, HVEM, TIM3, GAL9, LAG3, VISTA, KIR, 2B4, CD160, CGEN-15049, CHK 1,
CHK2, A2aR และ ธ-7 และการผสมรวมอย่างใดๆของสิ่งเหล่านั้น
218. วิธีของข้อถือสิทธิ 212-217 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบจะทำอันตร
กิริยากับลิแกนของโปรตีนจุดตรวจสอบที่ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่งประกอบด้วย ตระกูลลิแกน CTLA-4,
PDL1, PDL2, PD1, B7-H3, B7-H4, BTLA, HVEM, TIM3, GAL9, LAG3, VISTA, KIR, 2B4,
CD160, CGEN-15049, CHK 1, CHK2, A2aR และ B-7 หรือการผสมรวมของสิ่งเหล่านั้น
219. วิธีของข้อถือสิทธิ 212-218 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สองสารยับยั้งจุดตรวจสอบหรือ
มากกว่านั้นได้ถูกให้ยา
220. วิธีของข้อถือสิทธิ 219 โดยที่อย่างน้อยหนึ่งในสองสารยับยั้งจุดตรวจสอบหรือมากกว่า
นั้นเป็น PD-1 แอนติบอดีย์หรือ PD-L1 แอนติบอดีย์
221. วิธีของข้อถือสิทธิ 219 โดยที่อย่างน้อยหนึ่งในสองสารยับยั้งจุดตรวจสอบหรือมากกว่า
นั้นได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่งประกอบด้วย อิพิลิมูแมบ, เทรเมลิมูแมบ, นิโวลูแมบ, อะเวลูแมบ, เดอร์วาลู
แมบ, อะเทโซลิซูแมบ และเพมโบรลิซูแมบ
222. วิธีของข้อถือสิทธิ 212-221 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบ และ
องค์ประกอบได้ถูกให้ยาอย่างพร้อมกัน หรืออย่างเป็นลำดับ ในลำดับย่างใดๆ
223. วิธีของข้อถือสิทธิ 222 โดยที่เปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ หรอ
เซลล์ใด้ถูกให้ยาก่อนหน้าสารยับยั้งจุดตรวจสอบ
224. วิธีของข้อถือสิทธิ 222 โดยที่เปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ หรือ
เซลล์ได้ถูกให้ยาหลังจากสารยับยั้งจุดตรวจสอบ
225. วิธีของข้อถือสิทธิ 222 โดยที่การให้ยาของสารยับยั้งจุดตรวจสอบได้ถูกทำให้ต่อเนื่อง
ตลอดยั้งการรักษาแบบนีโอแอนติเจนเปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ หรือเซลล์

                                                หน้า 41 ของจำนวน 48 หน้า

226. วิธีของข้อถือสิทธิ 212-225 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่การรักษาแบบนีโอแอนติเจนเปปไทด์,
โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ หรือเซลล์ได้ถูกให้ยาแก่ผู้ทดสอบ ที่เพียงแค่ตอบสนองอย่าง
เป็นบางสวินหรือไม่ได้ตอบสนองต่อการรักษาด้วยสารยับยั้งจุดตรวจสอบ
227. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-226 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่องค์ประกอบได้ถูกให้ยาทางหลอด
เลือดดำ หรือทางใต้ผิวหนัง
228. วิธีของข้อถือสิทธิ 212-227 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบได้ถูกให้ยาทาง
หลอดเลือดดำ หรือทางใต้ผิวหนัง
229. วิธีของข้อถือสิทธิ212-228ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบได้ถูกให้ยาทาง
ใต้ผิวหนังภายในประมาณ 2 เชนติเมตร ของบริเวณของการให้ยาขององค์ประกอบ
230. วิธีของข้อถือสิทธิ229โดยที่องค์ประกอบได้ถูกให้ยาเข้าส่ต่อมน้ำเหลืองที่ระบายอย่าง
เดียวกันกับสารยับยั้งจุดตรวจสอบ
231. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-230 ข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยการให้ยาด้วย
สารเชิงการรักษาเพิ่มเติมแก่ผู้ทดสอบ อย่างใดอย่างหนึ่งของก่อนหน้า, อย่างพร้อมกันกับ หรือหลังจาก
การบำบัดด้วยเปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ หรือเซลล์
232. วิธีของข้อถือสิทธิ 231 โดยที่สารเพิ่มเติมเป็นสารการรักษาเชิงคีโม, ยาตัวปรับแปลง
ภูมิคุ้มกัน, ยาที่ตัดแปลงการเผาผลาญเชิงภูมิคุ้มกัน, การรักษาที่ถูกให้เป้าหมาย, การฉายรังสีสารต้าน
ทางหลอดเลือด หรือสารที่ลดการระงับเชิงภูมิคุ้มกัน
233. วิธีของข้อถือสิทธิ232 โดยที่สารการรักษาเชิงคีโมเป็นสารอัลคิเลติง,สารยับยั้งโทโพไอ
โซเมอเรส, สารต้านเมทาโบไลท์หรือสารต้านเชิงแบ่งตัว
234. วิธีของข้อถือสิทธิ 231 โดยที่สารเพิ่มเติมเป็นตระกูลตัวรับตัวปัจจัยการตายของเซลล์
เนื่องอกที่ถูกชักนำโดยสารต้านกลูโคคอร์ติคอยค์ (GITR) ของแอนติบอดีย์เชิงทำการ หรือชิ้นส่วน
แอนติบอดีย์, อิบรูทินิบ, โดเซทาซีออล, ซีลพลาทิน, แอนติบอดีย์เชิงทำการ CD40 หรือชิ้นส่วน
แอนติบอดีย์, สารยับยั้ง IDO หรือไซโคลฟอสฟาไมด์
235. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-234 ข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งดึงการตอบสนองเชิงภูมิคุ้มกันของ CD4+
T เซลล์หรือการตอบสนองเชิงภูมิคุ้มกันของ CD8+ T เซลล์
236. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-235 ข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งดึงการตอบสนองเชิงภูมิคุ้มกันของ CD4+
T เซลล์ และการตอบสนองเชิงภูมิคุ้มกันของ CD8+ T เซลล์

                                               หน้า 42 ของจำนวน 48 หน้า

237. วิธีสำหรับการกระตุ้นการตอบสนองเชิงภูมิคุ้มกันในผู้ทดสอบ ซึ่งประกอบรวมด้วยการ
ให้ยาด้วยปริมาณที่มิประสิทธิผลของเซลล์ที่ถูกดัดแปลง หรือองค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 173-190 ข้อ
ใดข้อหนึ่ง
238. วิธีของข้อถือสิทธิ 237 โดยที่การตอบสนองเชิงภูมิคุ้มกันเป็นการตอบสนองเชิง
ภูมิคุ้มกันที่เป็นพิษต่อเซลล์ และ/หรือเชิงของเหลวในร่างกาย
239. วิธีของข้อถือสิทธิ 237 โดยที่วิธีจะกระตุ้นการตอบสนองเชิงภูมิคุ้มกันที่มีสื่อกลางโดย T
เซลล์ในผู้ทดสอบ
240. วิธีของข้อถือสิทธิ239โดยที่การตอบสนองเชิงภูมิคุ้มกันที่มีสื่อกลางโดย T เซลล์ได้ถูก
ส่งตรงสู่เซลล์เป้าหมาย
241. วิธีของข้อถือสิทธิ240 โดยที่เชลล์เป้าหมายเป็นเซลล์เนื้องอก
242. วิธีของข้อถือสิทธิ 237-241 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่ถูกดัดแปลงได้ถูกแทรกรหัส หรือ
ถูกเปลี่ยนแปรภายในร่างกาย
243. วิธีของข้อถือสิทธิ 237-242 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่ถูกดัดแปลงได้ถูกแทรกรหัส หรือ
ถูกเปลี่ยนแปรภายนอกร่างกาย
244. วิธีของข้อถือสิทธิ 237-243 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เซลล์ที่ถูกดัดแปลงเป็น T เซลล์ของผู้
ทดสอบประเภทเดียวกัน
245. วิธีของข้อถือสิทธิ244โดยที่ T เซลล์ของผู้ทดสอบประเภทเดียวกันได้มาจากผู้ทดสอบ
ที่ได้รับนีโอแอนติเจนเปปไทด์หรือวัคซีนกรดนิวคลีอิก
246. วิธีของข้อถือสิทธิ 245 โดยที่นีโอแอนติเจนเปปไทด์ หรือวัคซีนกรดนิวคลีอิก ประกอบ
รวมด้วยอย่างน้อยหนึ่งนีโอแอนติเจนที่เป็นส่วนตัว
247. วิธีของข้อถือสิทธิ 246 โดยที่นีโอแอนติเจนเปปไทด์ หรือวัคซีนกรดนิวคลีอิก ประกอบ
รวมด้วยอย่างน้อยหนึ่งเปปไทดัชนิดนีโอแอนติเจนิกเพิ่มเติมที่ถูกให้รายการในตารางที่ 1 หรือ 2
248. วิธีของข้อถือสิทธิ 247 โดยที่ผู้ทดสอบที่ได้รับสารการรักษาเชิงคีโม, ยาตัวปรับแปลง
ภูมิคุ้มกัน, ยาที่ดัดแปลงการเผาผลาญเชิงภูมิคุ้มกัน, การรักษาที่ถูกให้เป้าหมาย หรือการฉายรังสี ก่อน
หน้า และ/หรือในระหว่างการรับของนิโอแอนติเจนเปปไทค์หรือวัคซีนกรดนิวคลีอิก
249. วิธีของข้อถือสิทธิ 237-248 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ผู้ทดสอบจะรับการบำบัดด้วยอย่างน้อย
หนึ่งสารยับยั้งจุดตรวจสอบ

                                              หน้า 43 ของจำนวน 48 หน้า

250. วิธีของข้อถือสิทธิ 237-249 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่ T เซลล์ประเภทเดียวกัน ได้มาจากผู้
ทดสอบที่ได้รับแล้วอย่างน้อยหนึ่งรอบของการรักษาแบบ T เชลล์ที่มีนีโอแอนติเจน
251. วิธีของข้อถือสิทธิ 237-250 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่วิธีประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยการรักษา
แบบ T เซลล์ชนิดที่ถ่ายทอดมา
252. วิธีของข้อถือสิทธิ 251 โดยที่การรักษาแบบ T เซลล์ชนิดที่ถ่ายทอดมา ประกอบรวม
ด้วย T เซลล์ประเภทเดียวกัน
253. วิธีของข้อถือสิทธิ 252 โดยที่ T เซลล์ประเภทเดียวกัน ได้ถูกมุ่งเป้าหมายต่อแอนติเจน
เนื้องอก
254. วิธีของข้อถือสิทธิ 251 หรือ 252 โดยที่การรักษาแบบ T เซลล์ชนิดที่ถ่ายทอดมา
ประกอบรวมเพิ่มเติมด้วย T เชลล์ชนิดต่างต้นกำเนิด
255. วิธีของข้อถือสิทธิ254โดยที่ T เซลล์ชนิดต่างต้นกำเนิดได้ถูกมุ่งเป้าหมายต่อ
แอนติเจนเนื้องอก
256. วิธีของข้อถือสิทธิ 251-255 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่การรักษาแบบ T เซลล์ชนิดที่ถ่ายทอด
มา ได้ถูกให้ยาก่อนหน้าสารยับยั้งจุดตรวจสอบ, หลังจากสารยับยั้งจุดตรวจสอบ หรืออย่างพร้อมกัน
กับสารยับยั้งจุดตรวจสอบ
257. วิธีสำหรับการประเมินค่าประสิทธิภาพของข้อถือสิทธิ 173-190 ข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่ง
ประกอบรวมด้วย: (i) การวัดจำนวน หรือความเข้มข้นของเซลล์เป้าหมายในตัวอย่างลำดับแรกที่ได้มา
จากผู้ทดสอบ ก่อนหน้าการให้ยาของเซลล์ที่ถูกตัดแปลง, (ii) การวัดจำนวนความเข้มข้นของเซลล์
เป้าหมายในตัวอย่างสำตับที่สองที่ได้มาจากผู้ทดสอบ หลังจากการให้ยาของเซลล์ที่ถูกตัดแปลง และ
(iii) การบ่งชี้การเพิ่ม หรือลดของจำนวน หรือความเข้มข้นของเซลล์เป้าหมายในตัวอย่างลำดับที่สอง
เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนหรือความเข้มข้นของเซลล์เป้าหมายในตัวอย่างลำดับแรก
258. วิธีของข้อถือสิทธิ 257 โดยที่ประสิทธิภาพการบำบัดได้ถูกบ่งชี้โดยการติดตามผลเชิง
การแพทย์; การเพิ่ม, การปรับเพิ่ม หรือการทำให้ยาวนานขึ้นของการมิฤทธิ์ต้านเนื้องอกโดย T เซลล์;
การเพิ่มในจำนวนของ T เซลล์ที่ต้านเนื้องอก หรือ T เซลล์ที่ถูกทำให้มีฤทธิ์ เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวน
ก่อนหน้าการบำบัด; การมีฤทธิ์ของ B เซลล์; การมีฤทธิ์ของ CD4+ T เซลล์; หรือการผสมรวมของสิ่ง
เหล่านั้น
259. วิธีของข้อถือสิทธิ 258 โดยที่ประสิทธิภาพการบำบัดได้ถูกบ่งชี้โดยการติดตามการทำ
เครื่องหมายทางชีวภาพ

                                               หน้า 44 ของจำนวน 48 หน้า

260. วิธีของข้อถือสิทธิ 259 โดยที่การทำเครื่องหมายทางชีวภาพได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย CEA, Her-2/neu, แอนติเจนเนื่องอกกระเพาะปัสสาวะ, ไทโรโกสบุลิน, อัลฟา-เฟโท
โปรตีน, PSA, CA 125, CA19.9, CA 15.3, เลปทิน, โพรแลกทิน, ออสทีโอพอนทิน, IGF-II, CD98,
ฟาสซิน, sPIgR, 14-3-3 eta, โทรโพนิน I, เซลล์เนื่องอกที่หมุนเวียน RNA หรือ DNA และเนตริยูเรติก
เปปไทด์ชนิด b
261. วิธีของข้อถือสิทธิ 258 โดยที่ผลเชิงการแพทย์ได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่งประกอบด้วยการ
เสื่อมถอยของเนื้องอก; การหดของเนื้องอก; การตายของเซลล์เนื้องอก; การตอบสนองการต้านเนื้องอก
โดยระบบภูมิคุ้มกัน; การขยายออกของเนื้องอก, การเกิดชิ้นอีก หรือการแพร่กระจาย; หรือการผสมรวม
ของสิ่งเหล่านั้น
262. วิธีของข้อถือสิทธิ 258 โดยที่ผลกระทบของการบำบัดได้ถูกทำนายโดยการปรากฏของ
T เซลล์หรือโดยการปรากฏของยีนเอกลักษณ์ที่บ่งชี้อาการอักเสบ T เซลล์หรือการผสมรวมของสิ่ง
เหล่านั้น
263. วิธีของการบำบัดโรคมะเร็ง หรือการเริ่มต้น, การปรับเพิ่ม หรือการขยายเวลาการ
ตอบสนองการต้านเนื้องอก ในผู้ทดสอบที่มีความต้องการของสิ่งเหล่านั้น ซึ่งประกอบรวมด้วยการให้
ยาแก่ผู้ทดสอบ:
(a) เปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ, แอนติบอดีย์หรือเซลล์ของข้อถือสิทธิ
1-106 ข้อใดข้อหนึ่ง; และ
(b) อย่างน้อยหนึ่งสารยับยั้งจุดตรวจสอบ
264. วิธีของข้อถือสิทธิ 263 ซึ่งประกอบรวมเพิ่มเติมด้วยการให้ยาของตัวปรับแปลงเชิง
ภูมิคุ้มกันหรือยาตัวเสริม
265. วิธีของข้อถือสิทธิ 264 โดยที่ตัวปรับแปลงเชิงภูมิคุ้มกัน หรือยาตัวเสริมได้ถูกเลือกจาก
กลุ่มซึ่งประกอบด้วย Poly(l:C), Poly-ICLC, ตัวทำการ STING, 1018 ISS, เกลืออะลูมิเนียม,
Amplivax, AS15, BCG, CP-870,893, CpG7909, CyaA, dSLIM, GM-CSF, IC30, IC31,
Imiquimod, ImuFact IMP321, IS Patch, ISS, ISCOMATRIX, Juvlmmune, LipoVac, MF59, โมโน
ฟอสฟอริลลิพิด A, Montanide IMS 1312 VG, Montanide ISA 206 VG, Montanide ISA 50 V2,
Montanide ISA 51 VG, OK-432, OM-174, OM-197-MP-EC, ตัวทำการ ISA-TLR2, ONTAK,
PepTel? ระบบพาหะ, PLG อนุภาคขนาดเล็ก, เรซิควิมอด, SRL172, ไวโรโซม และอนุภาคที่คล้ายกับ
ไวรัสอื่น, YF-17D, VEGF แทรป, R848, เบต้า-กดูแคน, Pam3Cys, Pam3CSK4, อะคริลิก หรือเมทาค


                                              หน้า 45 ของจำนวน 48 หน้า

ริลิกโพลีเมอร์, โคโพลีเมอร์ของมาเลอิกแอนไฮไดรด์ และ QS21 สติมูลอน ลิแกนตัวกระตุ้นร่วม, ลิแกน
TNF, ลิแกน lg ตระกูลใหญ่, CD28, CD80, CD86, ICOS, CD40L, OX40, CD27, GITR, CD30,
DR3, CD69 หรือ 4-1BB
266. วิธีของข้อถือสิทธิ 265 โดยที่ตัวปรับแปลงเชิงภูมิคุ้มกัน หรือยาตัวเสริมเป็น Poly-ICLC
267. วิธีของข้อถือสิทธิ 263-266 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบเป็นสารต้าน-
PDI แอนติบอดีย์หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์
268. วิธีของข้อถือสิทธิ 267 โดยที่สารต้าน-PDI แอนติบอดีย์ หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์เป็นนิ
โวลูแมบ หรือเพมโบลิซูแมบ
269. วิธีของข้อถือสิทธิ 263-266 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบเป็นสารต้าน-
PD-L1 แอนติบอดีย์หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์
270. วิธีของข้อถือสิทธิ 267 โดยที่สารต้าน-PD-L1 แอนติบอดีย์ หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์เป็น
อะเวลูแมบ, เดอร์วาลูแมบ หรืออะเทโซลิซูแมบ
271. วิธีของข้อถือสิทธิ 263-266 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบเป็นสารต้าน-
CTLA4 แอนติบอดีย์ หรือชิ้นส่วนแอนติบอดีย์
272. วิธีของข้อถือสิทธิ 271 โดยที่สารต้าน-CTLA4 แอนติบอดีย์เป็นอิพิลีมูแมบ หรือเทรเม
ลิมูแมบ
273. วิธีของข้อถือสิทธิ 263-272 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่วิธีประกอบรวมด้วยการให้ยายั้งสาร
ต้าน-PDI แอนติบอดีย์ และสารต้าน-CTLA4 แอนติบอดีย์
274. วิธีของข้อถือสิทธิ 263-272 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่การให้ยาของสารยับยั้งจุดตรวจสอบได้
ถูกเริ่มต้นก่อนหน้าการเริ่มต้นของการให้ยาของเปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ,
แอนติบอดีย์หรือเซลล์
275. วิธีของข้อถือสิทธิ 263-272 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่การให้ยาของสารยับยั้งจุดตรวจสอบได้
ถูกเริ่มต้นหลังจากการเริ่มต้นของการให้ยาของเปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ,
แอนติบอดีย์หรือเซลล์
276. วิธีของข้อถือสิทธิ 263-272 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่การให้ยาของสารยับยั้งจุดตรวจสอบได้
ถูกเริ่มต้นอย่างพร้อมกันกับการเริ่มต้นของการให้ยาของเปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ,
องค์ประกอบ, แอนติบอดีย์หรือเซลล์


                                         หน้า 46 ของจำนวน 48 หน้า

277. วิธีของข้อถือสิทธิ 263-276 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่เปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ,
องค์ประกอบ, แอนติบอดีย์ หรือเซลล์ได้ถูกให้ยาทางหลอดเลือดดำ หรือทางใต้ผิวหนัง
278. วิธีของข้อถือสิทธิ 263-276 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบได้ถูกให้ยาทาง
หลอดเลือดดำ หรือทางใต้ผิวหนัง
279. วิธีของข้อถือสิทธิ 263-278 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่สารยับยั้งจุดตรวจสอบได้ถูกให้ยาทาง
ใต้ผิวหนังภายในประมาณ 2 เซนติเมตร ของบริเวณของการให้ยาของเปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์,
พาหะ, องค์ประกอบ, แอนติบอดีย์หรือเซลล์
280. วิธีของข้อถือสิทธิ 279โดยที่เปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ,
แอนติบอดีย์หรือเซลล์ได้ถูกให้ยาเข้าสู่ต่อมนาเหลืองที่ระบายอย่างเดียวกันกับสารยับยั้งจุดตรวจสอบ
281. ยาปรุงสำเร็จ ซึ่งประกอบรวมด้วยเปปไทด์, โพลีนิวคลีโอไทด์, พาหะ, องค์ประกอบ,
แอนติบอดีย์, เซลล์หรือองค์ประกอบของข้อถือสิทธิ 1-136, 159 หรือ 168-190ข้อใดข้อหนึ่ง
282. วิธีของข้อถือสิทธิ 1 91-256ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย: ต่อมหมวกไต, กระเพาะปัสสาวะ, หน้าอก, คอ, ทวารหนัก, ไกลโอบลาสโทมา, ศีรษะ
และคอ, โครโมโฟบไต, เคลียร์เซลล์ในไต, พาพิลลารีไต, ตับ, มะเร็งชนิดต่อมในปอด, ปอดที่เป็นเกล็ด,
รังไข่, ตับอ่อน, เนื้องอกเมลาโนมา, ท้อง, เยื่อบุมดลูก และก้อนมะเร็งคาร์ซิโนซาร์โคมาในมดลูก
283. วิธีของข้อถือสิทธิ 1 91-256 ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย: โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก, กระเพาะปัสสาวะ, ปอดที่เป็นเกล็ด, NSCLC, หน้าอก, ศีรษะ
และคอ, มะเร็งชนิดต่อมในปอด, GBM, เนื้องอกไกลโอมา, CML, AML, ซูพรีเทนโทเรียลอีเพนไดโอมา,
มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดโพรไมอีโลไซติกเฉียบพลัน, เนื้องอกชนิดเส้นใยโดดเดี่ยว และโรคมะเร็งที่
ต้านทานคริโซทินิบ
284. วิธีของข้อถือสิทธิ 108 โดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่งประกอบด้วย: CRC,
ศีรษะและคอ, ท้อง, ปอดที่เป็นเกล็ด, มะเร็งชนิดต่อมในปอด, ต่อมลูกหมาก, กระเพาะปัสสาวะ, ท้อง,
มะเร็งชนิดเซลล์ในไต และมดลูก
285. วิธีของข้อถือสิทธิ 1 91-256 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย: เนื่องอกเมลาโนมา, ปอดที่เป็นเกล็ด, DLBCL, มดลูก, ศีรษะและคอ, มดลูก, ตับ และ CRC
286. วิธีของข้อถือสิทธิ 1 91-256ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย: โรคมะเร็งน้ำเหลือง; มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเบอร์กิท, นิวโรบลาสโทมา, มะเร็งชนิด
ต่อมในต่อมลูกหมาก, มะเร็งชนิดต่อมในทวารหนัก; มะเร็งชนิดต่อมในมดลูก/เยื่อบุมดลูก; MSI+;

                                                 หน้า 47 ของจำนวน 48 หน้า

มะเร็งเยื่อบุมดลูกชนิดเอนโดมีเทรียมซีเรียส; เนื้องอกที่ถูกผสมของก้อนมะเร็งคาร์ซิโนซาร์โคมาในเยื่อ
บุมดลูก-เนื้อเยื่อเนื้อร้ายชั้นกลาง; เนื้องอกไกลโอมา; เนื้องอกแอสโทรไซโทมา; GBM, มะเร็งเม็ดเลือด
ขาวในไขกระดูกชนิดเฉียบพลันที่เกี่ยวเนื่องกับ MDS; มะเร็งเม็ดเลือดขาวประเภทลิมโฟไซต์ซนิดเรื้อรัง-
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองประเภทลิมโฟไซด์ขนาดเล็ก; โรคไมอีโลดิสพลาสติก; มะเร็งเม็ดเลือดขาวในไข
กระดูกชนิดเฉียบพลัน; มะเร็งลูมินอล NS ของหน้าอก; มะเร็งเม็ดเลือดขาวในไขกระดูกชนิดเรื้อรัง;
มะเร็งทางท่อของตับอ่อน; มะเร็งเม็ดเลือดขาวไมอีโลโมโนไซติกชนิดเรื้อรัง; การเกิดพังผืดในไขกระดูก;
โรคไมอีโลดิสพลาสติก; มะเร็งชนิดต่อมในต่อมลูกหมาก; เกล็ดเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ; และเม
ดุลโลไมโอบลาสโทมา
287. วิธีของข้อถือสิทธิ 1 91-256ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย: ทวารหนัก, มดลูก, เยื่อบุมดลูก และท้อง
288. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-256 ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย: คอ, ศีรษะและคอ, ทวารหนัก, ท้อง, มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเบอร์กิท และมะเร็งจมูก
ร่วมคอหอย
289. วิธีของข้อถือสิทธิ 1 91 -256 ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย: กระเพาะปัสสาวะ, ทวารหนัก และท้อง
290. วิธีของข้อถือสิทธิ 1 91 -256 ข้อใดข้อหนึ่ง โดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย: ปอด, CRC, เนื้องอกเมลาโนมา, หน้าอก, NSCLC และ CLL
291. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-256 ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่ผู้ทดสอบมีการตอบสนองบางส'วน
หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยสารยับยั้งจุดตรวจสอบ
292. วิธีของข้อถือสิทธิ 1 91 -256 ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย: มะเร็งเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ (BLCA), มะเร็งหน้าอกชนิดแพร่กระจายเร็ว (BRCA),
โรคมะเร็งหน้าอก, มะเร็งชนิดเซลล์ที่เป็นเกล็ดที่คอ และมะเร็งชนิดต่อมในปากมดลูก (CESC), มะเร็ง
เม็ดเลือดขาวประเภทลิมโฟไซด์ชนิดเรื้อรัง (CLL), โรคมะเร็งทวารหนัก (CRC), ไกลโอบลาสโทมาชนิด
หลายรูปแบบ (GBM), มะเร็งชนิดเซลล์ที่เป็นเกล็ดที่ศีรษะและคอ (HNSC), มะเร็งชนิดเซลล์พาพิลลารี
ในไต (KIRP), มะเร็งเซลล์ตับ (LIHC), มะเร็งชนิดต่อมในปอด (LUAD), มะเร็งชนิดเซลล์ที่เป็นเกล็ดใน
ปอด (LUSC), มะเร็งชนิดต่อมในตับอ่อน (PAAD), โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก, เนื้องอกเมลาโนมาทาง
ผิวหนัง (SKCM), มะเร็งชนิดต่อมในท้อง (STAD), มะเร็งชนิดต่อมไทรอยด์ (THCA) และมะเร็งต่อม
เยื่อบุมดลูก (UCEC)

                                                   หน้า 48 ของจำนวน 48 หน้า

       293. วิธีของข้อถือสิทธิ 191-256 ข้อใดข้อหนึ่งโดยที่โรคมะเร็งได้ถูกเลือกจากกลุ่มซึ่ง
ประกอบด้วย: โรคมะเร็งทวารหนัก, โรคมะเร็งมดลูก, โรคมะเร็งเยื่อบุมดลูก, โรคมะเร็งท้อง และโรคลินซ์
       294. วิธีของข้อถือสิทธิ 293 โดยที่โรคมะเร็งเป็นโรคมะเร็ง MSI+

© 2021 DIP